[1] การตีความหรือการให้ความหมาย
(Construal or Interpretation) ในเรื่องต่าง ๆ นั้น
มีหลากหลายวิธี แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีใดต่างก็มีวัตถุประสงค์สุดท้าย (Ultimate
purpose) อย่างเดียวกัน นั่นก็คือ เพื่อให้เจตนารมณ์ที่แท้จริงของเรื่องนั้นปรากฏขึ้น
[2] วัตถุประสงค์ของการตีความกฎหมายก็หาได้แตกต่างจากหลักการตีความดังกล่าวข้างต้นไม่
แม้ระบบกฎหมายจะแบ่งออกเป็น 2 ระบบใหญ่ ๆ คือ ระบบจารีตประเพณี (Common Law
System) กับระบบประมวลธรรม (Civil Law System) และแต่ละระบบกฎหมายต่างก็มี “นิติวิธี” (Juristic methods) หรือการใช้การตีความกฎหมายที่แตกต่างกัน แต่การตีความกฎหมายของทั้งสองระบบต่างก็มุ่งไปสู่วัตถุประสงค์เช่นเดียวกัน
นั่นก็คือ เพื่อให้ทราบถึงความมุ่งหมายหรือเจตนารมณ์ที่แท้จริงของกฎหมาย
อันจะทำให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างถูกต้องและเป็นธรรม
[3] ในบทความนี้
ผู้เขียนจะไม่กล่าวถึงรายละเอียดของนิติวิธีในการตีความกฎหมายของทั้งระบบกฎหมายจารีตประเพณี[2] และการตีความกฎหมายของระบบประมวลธรรม[3] เนื่องจากมีตำราว่าด้วยวิธีการตีความกฎหมายของนักวิชาการหลายท่านได้อรรถาธิบายไว้โดยพิสดารแล้ว แต่จะขอกล่าวถึงหลักเกณฑ์ที่เป็นกรอบในการตีความกฎหมายที่ไม่มีใครพูดถึง นั่นก็คือ
ความเป็นกลางในการตีความกฎหมาย
[4] ผู้เขียนเห็นว่าการให้ความเห็นทางกฎหมายของนักกฎหมายกับการพิพากษาอรรถคดีของผู้พิพากษาหรือตุลาการนั้นต่างก็เป็นการตีความกฎหมายและมี
“เนื้อหา” เป็นอย่างเดียวกัน เพราะเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งเจตนารมณ์ที่แท้จริงของกฎหมายเพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น (กรณีนักกฎหมายทั่วไป)
หรือเพื่อนำไปใช้ในการพิพากษาอรรถคดีเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่คู่กรณี
(กรณีผู้พิพากษาหรือตุลาการ)
[5] อย่างไรก็ดี “ผลที่เกิดขึ้น”
ของการให้ความเห็นทางกฎหมายของนักกฎหมายทั่วไปในวาระและโอกาสต่าง ๆ
กับการพิพากษาอรรถคดีของผู้พิพากษาหรือตุลาการนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากการให้ความเห็นทางกฎหมายของนักกฎหมายทั่วไปนั้นมีผลกระทบต่อความรู้ความเข้าใจของสังคมที่มีต่อกฎหมายในวงกว้างเพราะนักกฎหมายทั่วไปนั้นสัมผัสใกล้ชิดกับประชาชนมากกว่าผู้พิพากษาหรือตุลาการซึ่งต้องดำรงตนตามกรอบจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ
และการตีความกฎหมายเพื่อประโยชน์ในการพิพากษาอรรถคดีของผู้พิพากษาหรือตุลาการก็มีผลผูกพันเฉพาะคู่กรณีเท่านั้น
อีกทั้ง “การเข้าถึง” คำพิพากษาหรือคำวินิจฉัยของผู้พิพากษาหรือตุลาการนั้นยังมีข้อจำกัดอยู่มาก
[6] แม้การให้ความเห็นทางกฎหมายของนักกฎหมายทั่วไปจะมี
“ผลกระทบ” ที่กว้างขวางกว่าการตีความกฎหมายเพื่อประโยชน์ในการพิพากษาอรรถคดีของผู้พิพากษาหรือตุลาการดังกล่าวข้างต้น
แต่นักกฎหมายส่วนใหญ่กลับมิได้ตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการให้ความเห็นทางกฎหมายของตน
นักกฎหมายจำนวนมากจึงมิได้วางจิตให้เป็นกลางในการให้ความเห็นทางกฎหมายทั้งที่เรื่องดังกล่าวเป็นหัวใจสำคัญของการตีความกฎหมายของผู้พิพากษาหรือตุลาการในการพิพากษาอรรถคดี
การให้ความเห็นของนักกฎหมายส่วนใหญ่จึงมิได้คำนึงถึงวัตถุประสงค์สุดท้าย (Ultimate
purpose) ของการตีความกฎหมายที่มุ่งหมายให้ให้เจตนารมณ์ที่แท้จริงของกฎหมายนั้นปรากฏขึ้นเนื่องจากมิได้มีจิตเป็นกลางมาแต่ต้น
และหลายกรณีเป็นการให้ความเห็นโดยมิได้อยู่บนพื้นฐานของนิติวิธี (Juristic Method) ในการตีความกฎหมาย
[7] ดังนี้
การให้ความเห็นทางกฎหมายของนักกฎหมายจำนวนมากที่ละเลยหลักการข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อดังกล่าวข้างต้น
จึงให้ผลที่ไม่สมเหตุสมผลหรือ “แปลกประหลาด” (Absurd) อยู่เสมอ
อันทำให้สังคมเกิดความสับสนและขาดความเชื่อถือศรัทธาที่มีต่อนักกฎหมายและผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายโดยรวม
และสร้างบรรทัดฐานที่ไม่ชอบด้วยเหตุผล (Absurd norms)
ขึ้นในสังคม ทั้งยังส่งผลให้ผู้ประกอบอาชีพอื่น ๆ เข้ามาร่วมตีความกฎหมายด้วยทั้งที่ไม่เคยศึกษาหลักการและนิติวิธีในการตีความกฎหมาย
ซึ่งยิ่งทำให้สังคมสับสนมากยิ่งขึ้น เช่น การให้ความเห็นว่าบุคคลกระทำที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นความผิดเป็นการกระทำที่บกพร่องโดยสุจริต
การให้ความเห็นว่าบุคคลมิได้กระทำความผิดตามกฎหมายเพียงแต่กระทำการอันกฎหมายห้าม การให้ความเห็นว่าเสียงข้างมากเป็นเผด็จการ
การให้ความเห็นว่าการชุมนุมในที่สาธารณะเป็นการใช้สิทธิที่รัฐธรรมนูญรับรอง ผู้ชุมนุมจึงย่อมปิดกั้นถนนหนทางใด
ๆ หรือบุกรุกเข้าไปในหรือปิดกั้นสถานที่ราชการได้ การให้ความเห็นว่าการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีในบางกรณีไม่ต่างจากบุรุษไปรษณีย์
เป็นต้น
[8] ผู้เขียนเห็นว่าโดยที่การให้ความเห็นทางกฎหมายของนักกฎหมายกับการพิพากษาอรรถคดีของผู้พิพากษาหรือตุลาการนั้นมีเนื้อหาอย่างเดียวกันดังกล่าวแล้วใน
[4] นักกฎหมายซึ่งจะแสดงอรรถกถาหรือให้ความเห็นทางกฎหมายในเรื่องใด
ๆ จึงต้องกระทำโดยมีจิตเป็นกลางเช่นเดียวกับการพิพากษาอรรถคดีของผู้พิพากษาหรือตุลาการ
ศึกษาวิเคราะห์และอธิบายตรรกะของเรื่องตามนิติวิธีในการตีความกฎหมาย โดยมุ่งหมายให้ให้เจตนารมณ์ที่แท้จริงของกฎหมายนั้นปรากฏขึ้น
มิใช่เพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งของผู้ใดหรือแนวทางที่ตนเองจะได้ประโยชน์
[9] โดยที่การทำจิตให้เป็นกลางในการพิพากษาอรรถคดีของผู้พิพากษาหรือตุลาการนั้นนักกฎหมายไทยยึดถือตามหลัก
“อินทภาษ” มาแต่โบราณ แต่โดยที่หลักการนี้ไม่มีการอบรมสั่งสอนกันในมหาวิทยาลัยเนื่องจากไม่ถือว่าเป็นศาสตร์
หากเป็นจารีตปฏิบัติในการประกอบวิชาชีพซึ่งก็มิได้มีการอบรมสั่งสอนกันอย่างจริงจัง
ผู้เขียนจึงใคร่ขอถือโอกาสนี้คัดลอกหลักอินทภาษตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายตราสามดวงมาเพื่อท่านผู้อ่านได้ศึกษาและยึดถือเป็นหลักปฏิบัติเพื่อให้มีจิตใจที่เป็นกลางในการประกอบอาชีพและการให้ความเห็นทางกฎหมาย
เพื่อป้องกันมิให้มีการให้ความเห็นทางกฎหมายที่สร้างความสับสนแก่สังคมอีกต่อไป
โดยผู้เขียนคัดลอกมาจากหนังสือ เรื่อง กฎหมายเมืองไทย จัดพิมพ์โดยมิศเตอร์
ดีบีบรัดเล พิมพ์ครั้งที่ 8 จุลศักราช 1251 ปีฉลูเอกศก หน้า 29-30
ดังนี้
[10] "ในเทวอรรถาธิบายว่า
บุทคลผู้ใดจะเปนผู้พิภาคษาตัดสินคดีการแห่งมนุษนิกรทั้งหลาย พึงกระทำสันดาน
ให้นิราศปราศจากอะคติธรรมทั้ง ๔ คือ ฉันทาคติ ๑ โทสาคติ ๑ ภะยาคติ ๑ โมหาคติ ๑
ทั้ง ๔ ประการนี้เปนทุจริตธรรม อันมิได้สอาจ มิได้เปนของแห่งสัปรุษแล้ว ธรรมทั้ง ๔
เรียกว่าอะคตินั้น ด้วยเหตุเป็นดังฤา อะคตินั้นแปลว่ามิได้เป็นที่ดำเนินแห่งสัปรุษ
และฉันทะ ๑ โทสะ ๑ ไภยะ ๑ โมหะ ๑ ธรรมทั้ง ๔ นี้ นักปราชมิควรถึงมิคงรดำเนินไปตาม และฉันทะนั้นถ้าจะว่าตามภูมก็เปนอัญญัสะมาณะราษีเจตสิก กุศลเกิดได้ฝ่ายอกุศลก็เกิดได้
แต่ทว่าเอามาจัดเข้าในคตินี้ ฉันทะนั้นเปนอกุศลจิตโดยแท้ แลโทสะ ไภยะ โมหะ
สามด้วงนี้ เปนอะกุศลเจตสิกฝ่ายเดียว แลซึ่งว่าผู้พิภาคษาปราศจากฉันทาคตินั้น
คือทำจิตรให้นิราศจากโลภ อย่าได้เหนแก่ลาภโลกามิตรสินจ้างสินบน
อย่าได้เข้าด้วยฝ่ายโจทยฝ่ายจำเลยเป็นเหตุจะได้วิญญาณพัศดุ แสอวิญญาณพัศดุ
ให้กระทำจิตรให้เปนจัตุรัศเที่ยงแท้ เปนนท่ำกลางดังตราชูยกขึ้น
อย่าได้กดขี่ฝ่ายโจทยฝ่ายจำเลย ยกข้างฝ่ายโจทย กดข้างฝ่ายจำเลย ให้พ่ายแพ้แก่กันลงด้วยอำนาจของตน ถึงมาทว่าผู้ต้องคดีนั้นจะเปนเผ่าพันธุ เปนต้นว่าบิดามารดาก็ดี
อย่าพึงเข้าด้วยสามารถฉันทาคติ อันมิควรจะพึงไป จงทำจิตรให้ตั้งอยู่ในอุเบกขาญาณ
จึ่งได้ชื่อว่าเปนองคตุลาการ มีอาการอันเสมอเหมือนด้วยตราชูให้พิจารณาไต่ไปตามพระธรรมสาตรราชสาตร อันโบราณบัณฑิตยชาติ
และกระษัตริยแต่ป่างก่อนบัญญัติไว้อย่าให้พลั้งพลาด แลผู้พิภาคษาตระลาการ
ไต่ไปโดยคลองธรรมดังกล่าวมานี้ ได้ชื่อว่าปราศจากฉันทาคติ คืออะคติเป็นประถม ๑ ฯ
แลปราศจากโทสาคตินั้นคือให้ผู้พิภาคษาตระลาการ ทำจิตรให้เสมอ
อย่าได้ไต่ไปตามอำนาจโทสาพยาบาท จองเวรว่าผู้นั้นเปนปฏิปักข ฆ่าศึกผิดกันกับอาตมา
อย่ากระทำซึ่งความโกรธ แลเวรพยาบาทเปนเบื้องน่า แล้วแลพิจารณากดขี่ให้พ่ายแพ้
ถึงมาทว่าฝ่ายโจทยฝ่ายจำเลยก็ดีจะเปนคนฆ่าศึกผิดกันกับตนอยู่ในกาลก่อน
ก็อย่าได้ปล่อยซึ่งจิตร ให้ไต่ไปตามอำนาจโทสาคติ พึงดำเนินไปตามพระธรรมสาตรราชสาตร
แลตั้งจิตรไว้ในมัชตุเบกขาให้แน่แน่ว แล้วจึ่งพิจารณาตัดสินเป็นท่ำกลาง
อย่าให้ฝ่ายโจทยฝ่ายจำเลยแพ้ชนะกันด้วยอำนาจโทสะจิตรจองเวรแห่งตน
เมื่อตระลาการพิภาคษาผู้ใดประพฤติได้ดังกล่าวมานี้
ได้ชื่อว่าพิภาคษาตระลาการผู้นั้นปราศจากโทสาคติ มิได้ตามอะคติเป็นคำรบสอง
ฯะ"
[11] ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า
นักกฎหมายผู้ซึ่งจะให้ความเห็นทางกฎหมายในเรื่องใด ๆ ภายหลังจากที่ได้อ่านบทความนี้แล้ว
จะได้ปฏิบัติตามหลักอินทภาษเพื่อทำจิตให้เป็นกลางก่อนให้ความเห็นทางกฎหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งเจตนารมณ์ที่แท้จริงของกฎหมาย
และโดยถูกต้องตามนิติวิธีในการตีความกฎหมายต่อไป
“นัตวาชินาหังปะวะรังมุนินทัง
ธัมมัญจะสังฆังวะระอัฐฐะสาธังวักขามิเสฐฐังวะระอินทภาสัง ปรัมปราภัตะกะวานสารัง ฯ
อะหัง นัตวาชินัง มุนุนทัง เสฐฐัง ปะวะรัง จะปะนะเกวะละเมวะ นัตวาธัมมัง ปริญัติ
จะปะนะเกวะละเมวะ นัตวาสังฆัง วะระอัตถสาธัง วักขามิ คัณฐัง อินทภาสัง
ปรัมปราภัตตะกะถานุสารัง วะรัง”
[1]กรรมการร่างกฎหมายประจำ
(นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (2557) อนึ่ง บทความนี้เป็นความคิดเห็นทางวิชาการโดยอิสระส่วนบุคคลของผู้เขียน
หน่วยงานอันเป็นต้นสังกัดของผู้เขียนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับบทความนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น