วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

Sharing Economy กับกฎหมายชรา

นายปกรณ์ นิลประพันธ์
กรรมการร่างกฎหมายประจำ
(นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ)
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

                   เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนได้กล่าวถึงกฎหมายใหม่ที่ดูประหนึ่งว่าจะไม่อยู่ในอ้อมใจของชาวไทยสักเท่าไร นั่นก็คือ “พระราชกฤษฎีกาการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. 2558” ที่กำหนดให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายหรือกฎต่าง ๆ ที่มีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไปต้องดำเนินการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายหรือกฎที่อยู่ในความรับผิดชอบของท่านทุกรอบ 5 ปี หรือเร็วกว่าหากเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวนั้น

                   ผู้เขียนไม่แน่ใจนักว่าที่ไม่สนใจนี่เพราะไม่รู้ว่ามีกฎหมายนี้อยู่ หรือไม่มัวแต่ไปสนใจว่าใครจะมาร่างรัฐธรรมนูญหรือใครจะมาเป็นสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศกันหมด

                   แต่เชื่อไหมครับว่าพอผู้เขียนเผยแพร่คำแปลพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใน blog ส่วนตัว (http://lawdrafter.blogspot.com/2015/09/translation-royal-decree-on-revision-of.html) ปรากฏว่าเพื่อนชาวต่างประเทศส่งอีเมล์มาแสดงความยินดีกับผู้เขียนมากมาย เพราะเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับความริเริ่มที่ต้องการให้มีการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายหลังจากที่กฎหมายมีผลใช้บังคับแล้ว (ex post evaluation of legislation initiative) ที่ทั้งโลกกำลังพยายามขับเคลื่อนกันอยู่ แม้ในกรอบ ASEAN หรือ APEC ก็มีการผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจังนะครับ เพราะถ้ากฎหมายสอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ก็เป็นหลักฐานชัดเจนที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลของประเทศนั้นมีวิสัยทัศน์และทันโลก ฝ่ายนิติบัญญัติก็มีคุณภาพ ไม่งั้นจะตรากฎหมายที่ทันยุคทันสมัยออกมาใช้บังคับได้อย่างไร ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ ใคร ๆ ก็อยากเข้ามาอยู่หรือเข้ามาลงทุนทั้งนั้นแหละ

                   ผู้เขียนคงไม่กล่าวซ้ำถึงรายละเอียดของกฎหมายฉบับนี้ แต่จะเล่าให้ฟังว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกประเทศ “ต้อง” ทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายอยู่เสมอ และรอบเวลาในการทบทวนนี้ก็จะสั้นลงเรื่อย ๆ เพราะต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล

                   ตัวอย่างที่จะเล่าให้ฟังนี้เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาครับ นั่นคือคดีระหว่าง DOUGLAS O’CONNER et al โจทก์ กับ UBER TECHNOLOGIES, INC. จำเลย ที่มีการฟ้องร้องกันอยู่ที่ US District Court (Northern District of California) ครับ

                   เราคงรู้จัก UBER กันพอสมควรนะครับ บริษัทนี้เปิดให้บริการบนพื้นฐานแนวคิดทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับลักษณะของสังคมแห่งการแบ่งปันของคนในยุคปัจจุบัน หรือเรียกว่า “Sharing economy” ง่าย ๆ ก็คือเขาให้บริการ “จับคู่” ระหว่างผู้ต้องการใช้บริการรถยนต์เพื่อเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางที่ต้องการ กับผู้มีรถยนต์ส่วนตัวขับแต่ไม่ได้ประกอบอาชีพขับรถรับจ้าง (และอาจไม่ได้ประกอบอาชีพอื่นเลย เช่น เป็นแม่บ้าน) ซึ่งเป็นสมาชิกของบริษัทโดยตรง ผ่านแอปพลิเคชั่นของบริษัท โดยผู้ขับรถยนต์ซึ่งเป็นสมาชิกตกลงให้บริษัทหักค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ 20 ของค่าโดยสารที่มีการชำระผ่านแอปพลิเคชั่นดังกล่าวเป็นค่าตอบแทน

                  UBER จึงแตกต่างจากแท็กซี่หรือบริการรถโดยสารรับจ้างทั่ว ๆ ไปแบบที่มนุษย์ลุงอย่างผมรู้จัก แต่เป็นบริการที่คนรุ่นลูกผมและหลานผมคุ้นเคย

                  ก็ทำไมต้องเดินออกจากบ้านไปยืนตากแดดตากฝนเรียกแท็กซี่ด้วยเล่าเมื่อสามารถเรียกได้จากมือถือที่ทุกวันนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายไปแล้ว แถมรถที่มารับนี่ก็มีสภาพดีกว่ารถโดยสารสาธารณะเพราะเจ้าของเขาดูแล การขับขี่สุภาพดี ไม่ปาดไปปาดมาเพราะเจ้าของเขาก็กลัวรถเขาพัง แถมบางคันยังใช้รถหรูหรามีระดับเสียอีก ไม่ใช่รถโทรม ๆ

                  คนรุ่นใหม่เขาไม่เข้าใจครับ!!

                  ในที่อเมริกาเขาให้บริการได้ครับ ถือเป็นเสรีภาพในการประกอบอาชีพโดยสุจริต ประกอบกับสังคมของเขาเปิดกว้างยอมรับนวัตกรรมทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ  ว่ากันว่านวัตกรรม Sharing economy ของ UBER นี้ทำให้คนอเมริกันมีรายได้เพิ่มขึ้นถึงกว่าสองแสนคนทีเดียว และเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากโดยตรงเพราะคนที่เป็นสมาชิกของบริษัทโดยมากก็ยังผ่อนรถกันอยู่ แต่หลายประเทศที่ยังปรับตัวไม่ทัน ก็ยังไม่ยอมรับการให้บริการแบบนี้

                   กลับมาที่คดีนี้ดีกว่า โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย แต่จำเลยแก้ต่างว่าจำเลยเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีในการจับคู่ระหว่างผู้ต้องการใช้บริการรถยนต์เพื่อเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางที่ต้องการ กับผู้มีรถยนต์ส่วนตัวขับซึ่งเป็นสมาชิกของจำเลยโดยตรงผ่านแอปพลิเคชั่นที่จำเลยทำขึ้นเท่านั้น จำเลยจึงเป็นเพียงคนกลาง ไม่ต่างจากบริษัทอย่าง eBay สมาชิกหาใช่ลูกจ้างของจำเลยไม่

                  ประเด็นอยู่ที่ว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่?
  
                 ศาสตราจารย์ Steven Davidoff Solomon แห่งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย UC ฺ(Berkeley) เห็นว่านี่เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างระบบเศรษฐกิจใหม่ (Sharing economy) กับกฎหมายชรา เพราะกฎหมายคุ้มครองแรงงานที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้นเกิดขึ้นจากบริบทที่นายทุนซึ่งมีอิทธิพลเอาเปรียบแรงงานที่ไร้พลังต่อรองมานานต่อเนื่องกันหลายศตวรรษ การคุ้มครองแรงงานอย่างเข้มข้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะแรงงานในระบบ โดยลูกจ้างต้องทำงานให้แก่นายจ้างเท่านั้น จะทำงานอย่างอื่นไม่ได้ แต่ในยุค Sharing economy โดยเฉพาะในกรณีของ UBER นั้น UBER เป็นเพียงผู้จัดให้มีและให้บริการเทคโนโลยีจับคู่ระหว่างคนที่มีความต้องการสอดคล้องกันพอดีในกรณีของการโดยสารรถยนต์ บริษัทไม่ได้รับค่าโดยสารโดยตรงเพื่อนำมารวมไว้แล้วจ่ายให้แก่ลูกจ้างตามรอบเวลาเหมือนลูกจ้างในระบบ แต่จะหักค่าธรรมเนียมเข้าบริษัทถ้ามีการชำระเงินผ่านแอปพลิเคชั่น ซึ่งถ้าเป็นสมาชิกแต่ไม่รับงานเลยก็ได้ จะมีความคล้ายคลึงกับระบบลูกจ้างนายจ้างอยู่บ้างก็ตรงที่ว่าถ้าใครมาเป็นสมาชิกก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขบางอย่างที่บริษัทกำหนดเท่านั้น

                   คดีนี้ยังไม่จบนะครับ เพิ่งเริ่มยกสองเท่านั้น คงต้องติดตามกันต่อไปว่าจะจบอย่างไร

                   ที่ผู้เขียนยกคดีนี้มาเล่าให้ฟังก็เพียงเพื่อเน้นย้ำความสำคัญของการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายอยู่เสมอเพราะโลกเราเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก แม้กระทั่งอเมริกาซึ่งมีระบบการตรากฎหมายที่มีประสิทธิภาพและการเมืองมีเสถียรภาพยังแก้กฎหมายตามแทบไม่ทันเลย

                   ถ้าเรายังไม่ตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้ ถึงเราจะเดินไปข้างหน้าได้ ..

                   แต่คงช้ามากทีเดียว.


**********

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น