การที่มาตรา
๗๗ ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ บัญญัติไว้ตอนหนึ่งว่า "รัฐพึงกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการตามขั้นตอนต่าง
ๆ ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายให้ชัดเจน" นั้น ถ้าอ่านแบบผ่าน ๆ โดยไม่คิดอะไรก็จะเข้าใจไปว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ
แถมไม่มันส์เท่าบทบัญญัติในหมวดอื่น ๆ ที่ทำให้คนช่างฝันสามารถ “จินตนาการ” ไปได้ต่าง
ๆ นา ๆ ว่าเมื่อเลือกตั้งแล้ว พรรคไหนจะได้เข้ามาเท่าไร ใครจะรวมกับใคร
ใครจะเป็นนายก ฯลฯ
แต่จริง
ๆ แล้วบทบัญญัตินี้มีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของพี่น้องประชาชนมากนะครับ ว่าง่าย ๆ
คือถ้ากฎหมายกำหนดแต่ขั้นตอนต่าง ๆ ไว้ แต่ไม่กำหนดว่าใครต้องทำอะไรภายในเวลาเท่าไร
การทำงานตามขั้นตอนต่าง ๆ เหล่านั้นก็จะมีลักษณะเป็นการทำงานแบบ “ลมโชย” คือทำไปเรื่อย
ๆ คนเดือดร้อนก็คือพี่น้องประชาชนนะครับ เพราะเป็นผู้ที่ต้องทำตามกฎหมาย
ถ้าเป็นเรื่องที่มีการร้องเรียนหรือฟ้องร้องกัน
การไม่กำหนดเวลาดำเนินการก็ทำให้คนถูกกล่าวหาตกนรกทั้งเป็นได้ง่าย ๆ เพราะเมื่อไรเรื่องหรือคดีจะจบจะสิ้นกันเสียทีก็ไม่รู้
ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการต่อสู้ความกันไม่รู้เท่าไร บางทีสู้กันเป็นหนี้หัวโตเพื่อรักษาเกียรติยศ
บ้างผู้ถูกกล่าวหาตายไปแล้วเรื่องยังไม่ไปถึงไหนก็มี ทิ้งเรื่องที่ถูกร้องเรียนหรือฟ้องร้องให้เป็นประวัติเสียติดค้างคาไปถึงลูกหลานเพราะความจริงยังไม่ปรากฏกันเยอะแยะไป
สร้างบาปสร้างกรรมนะครับนี่
ดังนั้น
ยิ่งบ้านเราให้น้ำหนักกับความสะดวกในการกล่าวหา จึงยิ่งต้องใส่ใจในการกำหนดเวลาในการพิสูจน์ทราบว่าใครถูกใครผิดไว้ให้ชัดเจนเป็นของคู่กันด้วย
ไม่งั้นสังคมคงอลเวงกันไปหมด งานการไม่ต้องทำกันพอดี กลัวถูกกล่าวหา กลัวเป็นคดี
กลัวเสียชื่อเสียง ทำงานไปวัน ๆ ดีกว่า ชั่วไม่มี ดีไม่ปรากฏ ถ้าเช่นนี้ประเทศไม่ต้องไปไหนกัน
ถ้าเป็นเรื่องการขออนุมัติอนุญาตจากทางราชการแล้วไม่มีกำหนดเวลาดำเนินการแล้วเสร็จไว้
คนขออนุญาตเขาก็จะไม่รู้ว่าเขาจะรู้ผลเมื่อไร เขาก็เสียหาย ยิ่งถ้าเป็นการขออนุมัติอนุญาตที่เกี่ยวกับการทำสัมมาอาชีวะหรือประกอบธุรกิจนี่ชัดเจนมาก
เพราะการจะทำมาหากินอะไรนี่ต้องมีการลงทุน ต้องมีการวางแผน
ถ้ามันไม่เป็นไปตามแผนหรือผิดแผนมาก ๆ นี่ต้นทุนดำเนินการมันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นะครับ
ไหนจะเสียโอกาสในทางธุรกิจอีก เพราะเวลาที่เดินไปเรื่อย ๆ
นี่เขาอาจเสียเปรียบคู่แข่งทางการค้าได้ โบราณว่ากว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้เสียแล้ว เผลอ ๆ เขามาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐเข้าให้อีกมันจะไปกันใหญ่
ดังนั้น
ทิศทางการร่างกฎหมายของโลกปัจจุบันจึงให้ความสำคัญกับ “ข้อมูลที่เป็นจริง”
(Evidence based) เพื่อ “สร้างขั้นตอนเพียงเท่าที่จำเป็น”
และ “กำหนดเวลาในการดำเนินงานในแต่ละขั้นตอนให้ชัดเจน” ครับ
OECD นี่ถึงขนาดออก
Standard Cost Model
(SCM) ขึ้นเป็นแนวทางการคำนวณต้นทุนในการปฏิบัติตามกฎหมายของประชาชน
(Compliance Cost) ไว้เป็นคู่มือประกอบการกำหนดขั้นตอนต่าง
ๆ ของผู้เสนอกฎหมายทางธุรกิจไว้เป็นเรื่องเป็นราว
โดยเขาเอาเวลาในแต่ละขั้นตอนเป็นตัวคำนวณด้วยตามสูตรนี้ครับ
Compliance Cost = Prices X Times X Quantity (population x frequency) หรือ
ต้นทุนต่อกิจกรรม
= ค่าใช้จ่าย X ระยะเวลา X ปริมาณ
(ผู้เกี่ยวข้อง X ความถี่)
เช่น การที่ผู้ร่างกฎหมายเสนอว่าสมควรกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องได้รับใบอนุญาตทำกิจกรรม
ก. ไม่ใช่สักแต่เขียนในกฎหมายว่าต้องทำอย่างไรเพราะมันเป็น “แบบ” แต่ผู้เสนอร่างกฎหมายต้องคิดว่าคนมาขอใบอนุญาตเขาต้องใช้เอกสารใดบ้าง
ค่าใช้จ่ายในการทำเอกสารคิดเป็นเงินเท่าใด ต้องใช้แรงงานคนกี่คนในการทำเอกสาร
ทำกี่วัน และต้องคิดว่าจะใช้เวลาในการออกใบอนุญาตกี่วัน รวมทั้งต้องคิดว่ามีผู้ประกอบการอย่างน้อยที่สุดกี่รายที่จะต้องมาขอใบอนุญาต
กับต้องขอใบอนุญาตครั้งเดียวจบหรือหลายครั้ง แล้วนำมาคำนวณให้เห็นว่ามันเป็นภาระขนาดไหน
จะได้รู้ว่ามันคุ้มค่าหรือจำเป็นแค่ไหนในการสร้างขั้นตอนนั้นขึ้นมา
ตามตัวอย่างข้างต้น ถ้าต้องใช้คนหนึ่งคน ต้องใช้เวลากรอกคำขอและเอกสารประกอบรวม
๓ วัน ค่าใช้จ่ายก็เท่ากับ ๓๐๐ X ๓ = ๙๐๐ บาท (คิดจากฐานค่าแรงขั้นต่ำวันละ ๓๐๐ บาท) รวมกับค่าใช้จ่ายในการถ่ายเอกสารอีกสมมุติว่า
๑๐๐ บาทก็จะเท่ากับ ๑,๐๐๐ บาท ต้องใช้เวลารอจนกว่าจะได้รับใบอนุญาตอีกสมมุติว่า ๖๐
วัน มีผู้ประกอบกิจการนั้นอย่างน้อย ๕,๐๐๐ ราย และขออนุญาตปีละ ๑ ครั้ง
ต้นทุนต่อกิจกรรมขอใบอนุญาตนี้จะเท่ากับ ๑,๐๐๐ X ๖๐ X ๕,๐๐๐ X ๑ = ๓๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท!!!
โอว์ แม่เจ้า!!!!!!! เขียนกฎหมายง่าย ๆ ตามแบบและใช้ระยะเวลาที่ (ผู้เสนอร่างกฎหมายคิดเอาเองว่า)
ไม่ยาวนักมันสร้างต้นทุนถึงสามร้อยสิบล้านบาทต่อปีเป็นอย่างน้อยเจียวหรือ ยังไม่นับค่าเสียโอกาสในช่วงรอ
๖๐ วัน หรือต่อขยายเวลาต่อไปอีกด้วยนะจอร์ช ...
นี่ยังไม่ได้คิดอย่างละเอียดลอออย่างฝรั่งมังค่านะครับ ฝรั่งมันคิดไปถึงต้นทุนที่รัฐต้องใช้ในการออกใบอนุญาตมารวมด้วยนะ แต่บ้านเราแค่คิดแบบดิบ ๆ อย่างที่ผู้เขียนคิดก็แย่แล้วละ ...
เห็นไหมครับว่าเรื่องการกำหนดเวลาในกฎหมายนี่กระทบต่อประชาชนจัง
ๆ เลย แถมตีชิ่งไปที่ความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย การเสนอให้กำหนดกระบวนการหรือกลไกตามกฎหมายจึงต้องคิดให้รอบคอบครับ มโนเอาแบบเดิม ๆ ไม่ได้แล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น