ปกรณ์
นิลประพันธ์
เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์
2554 ผู้เขียนพบข่าวกรอบเล็ก ๆ ที่น่าสนใจข่าวหนึ่งในหน้า 8 ของหนังสือพิมพ์ International Herald
Tribune ซึ่งรายงานว่า สภาของรัฐชิวาว่าที่เป็นหนึ่งใน 31 รัฐของเม็กซิโกซึ่งมีพื้นที่มากกว่าเกาะอังกฤษเล็กน้อย
และอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเม็กซิโกติดกับรัฐเท็กซัสของสหรัฐ
ได้ผ่านกฎหมายสำคัญฉบับหนึ่งด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ห้ามนำเข้า จำหน่าย และครอบครองเกมส์คอมพิวเตอร์เกมส์หนึ่งที่มีชื่อว่า
“Call of Juarez: The Cartel” ผลิตโดยยูบิซอฟ์ท
ยักษ์ใหญ่ในวงการเกมส์ และกำหนดจำหน่ายทั่วโลกประมาณกลางปีนี้
เกมส์นี้ไม่มีเนื้อหาสาระอะไรมากไปกว่าฉากยิงกันเลือดสาดอย่างง่าย
ๆ บนถนนหนทางและร้านรวงต่าง ๆ ในเมืองซิอูดัด ซัวเรซ ของรัฐชิวาว่า อันสืบเนื่องมาจากปัญหายาเสพติดที่ระบาดอย่างรุนแรงในเมืองซิอูดัด ซัวเรซ นั่นเอง
จะว่าไปเกมส์นี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เกินเลยไปจากข้อเท็จจริงเท่าใดนัก
เพราะเมืองซิอูดัด ซัวเรซ ซึ่งอยู่ติดกับเมืองเอล ปาโช ของรัฐเท็กซัส
เป็นเมืองที่ยาเสพติดระบาดอย่างรุนแรง และในปี 2552-2553 มีผู้เสียชีวิตจากการปราบปรามยาเสพติด “อย่างเอาจริงเอาจัง”
ของเจ้าหน้าที่ในเมืองนี้ถึงกว่า 6,000 คน
จนทำให้เมืองนี้กลายเป็นหนึ่งในเมืองที่อันตรายที่สุดในโลก
ถามว่าทำไมต้องแบนเกมส์นี้ด้วย
เพราะเกมส์อื่น ๆ ก็มีที่ยิงกันเลือดสาดเหมือนกัน
เอ็นริเก้
เซอราโน ประธานสภาของรัฐชิวาว่า อธิบายว่ามันไม่เกี่ยวกับ “ภาพลักษณ์”
ของเมืองซิอูดัด ซัวเรซ แต่อย่างใด แต่สมาชิกสภาของรัฐชิวาว่าเห็นพ้องต้องกันว่า
ชาวเมืองส่วนใหญ่ต้องทำมาหากินจึงไม่ค่อยมีเวลาดูแลลูกหลานอย่างเหมาะสม
เวลาว่างของเด็กและเยาวชนจึงอยู่กับโทรทัศน์และเกมส์
และสื่อทั้งสองประเภทนี้เองที่ทำให้เด็กและเยาวชน “ซึมซับ” และ “ชิน” กับความรุนแรงและอาชญากรรม
และเห็นการทำร้าย การใช้ความรุนแรง การใช้อาวุธ และการฆ่าผู้อื่นเป็นเรื่องธรรมดา
จึงเท่ากับเป็นการปลูกฝังเด็กและเยาวชนให้ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา
ซึ่งสมาชิกสภาของรัฐชิวาว่าเห็นว่าเป็นปัญหาสังคมในระยะยาวและต้องจัดการอย่างเร่งด่วน
และนอกจากเกมส์นี้แล้ว คงจะมีการแบนเกมส์อื่น ๆ ในทำนองเดียวกันนี้ด้วยในอนาคต
ผู้เขียนเห็นว่านี่ก็ใกล้จะเป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ของนักเรียนไทยแล้ว
และช่วงเวลาเช่นนี้ เด็กและเยาวชนจำนวนมากของเราก็คงใช้เวลานี้ในการเล่มเกมส์ทั้งที่บ้านและตามร้านเกมส์ต่าง
ๆ ที่มีอยู่อย่างดาษดื่นไม่ต่างจากเด็กเม็กซิกัน
และเท่าที่ผู้เขียนได้มีโอกาสสัมผัสกับเกมส์คอมพิวเตอร์อยู่บ้างเพราะลูกชายของผู้เขียนก็อยู่ในวัยที่กำลังเล่มเกมส์คอมพิวเตอร์เช่นกัน
ผู้เขียนพบว่าพ่อแม่ส่วนใหญ่ที่ไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกมักจะซื้อเครื่องเล่มเกมส์ต่าง
ๆ ให้ลูกเล่น แต่มีน้อยมากที่จะรู้ว่าลูกเราเล่นเกมส์อะไรบ้าง
ผู้เขียนเคยลองขอยืมเครื่องเล่มเกมส์ของเพื่อนลูกชายมาดูหลายครั้งและพบว่าเกมส์ที่เด็กเล่นจำนวนมากเน้นไปที่การใช้ความรุนแรงในการ “กำจัด” คู่ต่อสู้ การทำร้ายคู่ต่อสู้จนเลือดสาดหรือตายด้วยวิธีแปลกประหลาดเท่าที่ผู้สร้างเกมส์จะสรรคิดขึ้นมาได้
และการฆ่าสัตว์ คน หุ่นยนต์ หรือซอมบี้ กลายเป็น “เรื่องธรรมดา” ที่มีอยู่ในเกมส์ที่เด็กและเยาวชนของเรากำลังเล่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ทั้งที่ตำราที่ลูกหลานของเราใช้เรียนอยู่นั้นสอนว่าเราควรต้องมีความเมตากรุณาต่อผู้อื่น ควรเคารพผู้อื่น ไม่ทำร้ายผู้อื่น แต่พ่อแม่กลับยัดเยียดความรุนแรงให้แก่เด็ก ๆ
โดยไม่รู้ตัว และธรรมชาติของเด็กชอบเล่นมากกว่าเรียนอยู่แล้ว จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเด็ก
ๆ ที่น่ารักของเราโตขึ้นโดยคุ้นชินกับความรุนแรงและความโหดร้ายได้อย่างไร???
ผู้เขียนในฐานะที่เป็นพ่อของเด็กชายเล็ก
ๆ คนหนึ่งจึงอยากสะท้อนความรู้สึกที่มีต่อข่าวที่ผู้เขียนได้กล่าวถึงในตอนต้นว่า เราควรจะมีกฎหมายที่
“แบน” เกมส์ที่มีลักษณะโหด ๆ เช่นเดียวกับรัฐชิวาว่าของเม็กซิโกบ้างหรือไม่?? และควรจะมีการปิดกั้น (Block) การเล่มเกมส์แบบนี้ทางอินเตอร์เน็ตด้วยหรือไม่?? และถ้าเกรงว่าเจ้าหน้าที่จะแบนหรือปิดกั้นเกมส์โดยไม่มีเหตุผล
ก็ควรกำหนดเกณฑ์ในการใช้อำนาจแบนหรือปิดกั้นเกมส์ไว้ในกฎหมายเสียให้ชัดเจน
ผู้เขียนเคยได้ยินว่ามีการเสนอให้มีการออกกฎหมายจัดเรตติ้งเกมส์
แต่ผู้เขียนเห็นว่ามาตรการดังกล่าวก็คงจะไม่สำเร็จเช่นเดียวกับเรตติ้งภาพยนต์และหนังทีวี
เพราะอย่างที่กล่าวข้างต้นว่าในความเป็นจริงนั้นผู้ปกครองแทบไม่มีเวลาให้บุตรหลานเพราะต้องทำมาหากิน
จะเอาเวลาที่ไหนไปแนะนำลูกเวลาดูภาพยนต์ ดูทีวี หรือเล่นเกมส์ ฝรั่งเขาใช้มาตรการแบบนี้ได้สำเร็จเพราะพ่อแม่เขามีเวลาดูแลลูก ไม่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำเหมือนพ่อแม่บ้านเรา
วิธีการที่ฝรั่งใช้แล้วสำเร็จจึงอาจไม่สำเร็จในบ้านเราก็ได้ ถ้าหากจะออกกฎหมายจัดเรตติ้งเกมส์กันจริง
ๆ ผู้เขียนขอเสนอให้ประเมินผลการทดสอบการจัดเรตติ้งภาพยนต์และหนังทีวีเสียก่อนว่าประสบความสำเร็จจริงหรือไม่
นอกจากการมีกฎหมายเช่นว่านั้นแล้ว ผู้เขียนเห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ควรส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนใช้เวลาว่างอย่างสร้างสรรค์ให้
“มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่” ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการเล่นกีฬา ดนตรี ศิลปะ ฯลฯ เพราะความจริงคือผู้ปกครองแทบไม่มีเวลาให้บุตรหลาน
สถาบันครอบครัวจึงอ่อนแอ ผู้เขียนจึงเห็นว่ารัฐมีความชอบธรรมและสมควรอย่างยิ่งที่จะเข้าไปส่งเสริมและสนับสนุนในส่วนนี้เพื่อรักษาสถาบันครอบครัวให้เข้มแข็ง
และเพื่อให้เด็กและเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติในวันข้างหน้านำพาประเทศชาติไปในทิศทางที่เหมาะสมและแข่งขันกับเด็กและเยาวชนชาติอื่นได้อย่างทัดทียม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น