ปกรณ์
นิลประพันธ์[๑]
เรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้
ไม่มีใครขอให้ผมเขียน แต่ผมเขียนขึ้นเองเพื่อบอกเล่าความทรงจำของผมเกี่ยวกับชายคนหนึ่งซึ่งเพิ่งจากไป
ชายคนนี้เป็นครูคนแรกที่ก่อสร้างรากฐานที่มั่นคงในการประกอบวิชาชีพการร่างกฎหมายให้แก่ผม
จนทำให้ผมมีความก้าวหน้าในการประกอบวิชาชีพการงานและสามารถทำงานรับใช้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมาจนถึงทุกวันนี้
* * *
ในการประกอบวิชาชีพนั้น
คนที่จะเริ่มต้นประกอบวิชาชีพต้องมี “ครู” ซึ่งเป็นผู้ประกอบวิชาชีพนั้นอยู่เดิม มีความรอบรู้ในวิชาชีพ ตลอดจนมีวัตรปฏิบัติดีไว้คอยอบรมสั่งสอนอย่างใกล้ชิด ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการประกอบวิชาชีพ รวมทั้งกริยามารยาทต่าง ๆ เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งในการประกอบวิชาชีพให้แก่ศิษย์ซึ่งมีพันธกิจที่จะต้องธำรงเกียรติและศักดิ์ศรีของวิชาชีพรุ่นต่อ
ๆ ไป
* * *
“อาจารย์รองพล
เจริญพันธุ์” คือ “ครู” คนที่ว่านี้ของผม และเป็นผู้ชายคนที่ผมจะเล่าให้ฟังว่า ท่านได้กรุณาสร้างรากฐานในการประกอบวิชาชีพร่างกฎหมายให้ผมอย่างไร
* * *
เรียนตามตรงว่าผมไม่เคยได้ยินชื่อสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามาก่อนเลยในชีวิต จนกระทั่งได้เรียนวิชากฎหมายปกครองในปีที่สี่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
จึงพอรู้เลา ๆ ว่าสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นที่ปรึกษากฎหมายของรัฐบาล
และมีหน้าที่ให้ความเห็นทางกฎหมาย ตลอดจนยกร่างและตรวจพิจารณาร่างกฎหมายให้แก่รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐทั้งหลาย
ส่วนว่าจะตั้งอยู่ที่ไหนนั้น ผมไม่รู้จริง ๆ จนเมื่อเรียนจบและไปขอใบ Transcript
ที่สำนักทะเบียนอาคารเอนกประสงค์ จึงทราบจากเพื่อนว่าสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเขาเปิดรับนิติกรและชวนไปสมัคร ผมจึงเพิ่งรู้ว่าสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก็คืออาคารที่อยู่ติดกับห้องสมุดกลางด้านประตูรัฐศาสตร์นี่เอง
* * *
การสอบเข้าทำงานที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานั้นออกจะแปลกกว่าการสอบเข้ารับราชการที่อื่น ๆ เพราะมีการสอบภาษาอังกฤษสำหรับนักกฎหมาย เหตุที่ว่าแปลกก็เนื่องจากภาษาอังกฤษถือเป็น “ยาขม” ของนักเรียนกฎหมายยุคของผม แต่เมื่อต้องสอบภาษาอังกฤษสำหรับนักกฎหมายด้วย
ผมจึงต้องขวนขวายหาว่าเขาสอบอะไรกันบ้าง และบังเอิญว่าเพื่อนสนิทคนหนึ่งของผมเขารู้จักกับรุ่นพี่ที่ทำงานอยู่ที่สำนักงานฯจึงอาสาพาไปหาพี่คนนี้ซึ่งบังเอิญทำงานอยู่ที่กองกฎหมายต่างประเทศพอดีเพราะภาษาต่างประเทศของท่านดีมากทั้งภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส
พี่ที่น่ารักคนนี้ก็ได้กรุณาให้ยืมคำแปลกฎหมายและรัฐธรรมนูญมาหลายฉบับเพื่อมาฝึกแปลไทยเป็นอังกฤษ
และอังกฤษเป็นไทย เพราะ “อาจารย์รองพลฯ” ซึ่งเป็นผู้อำนวยการกองกฎหมายต่างประเทศและรับผิดชอบการออกข้อสอบภาษาอังกฤษชอบออกข้อสอบแนวนี้
เพราะภารกิจของกองกฎหมายต่างประเทศนั้นทำงานแปลกฎหมายและงานค้นความเปรียบเทียบกฎหมายเป็นหลัก
ผมจึงได้ยินชื่ออาจารย์รองพลฯเป็นครั้งแรก
* * *
เมื่อมีการประกาศผลสอบ
ปรากฏว่าผมเป็นคนเดียวในรุ่นที่เพิ่งจบที่สามารถสอบเข้าทำงานได้ และได้รายงานตัวเข้ารับราชการที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเมื่อวันที่
๒๕ มิถุนายน ๒๕๓๓
ตอนนั้นสำนักงานฯมีข้าราชการทั้งสายนิติกรและสายสนับสนุนรวมกันราว ๆ
แปดสิบคนเศษเท่านั้น ถือว่าเป็นหน่วยงานที่เล็กแต่อบอุ่นมาก ในวันแรกที่เข้ารับราชการ
ฝ่ายการเจ้าหน้าที่ส่งผมไปอยู่ที่กองกฎหมายไทย ขณะที่เพื่อนรุ่นพี่อีกคนหนึ่งซึ่งตอนนี้เป็นผู้พิพากษาไปแล้วถูกส่งไปอยู่กองกฎหมายต่างประเทศ
ตอนกลางวันเมื่อรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันระหว่างบรรดานิติกรใหม่ เพื่อนรุ่นพี่ที่ถูกส่งไปอยู่กองกฎหมายต่างประเทศบ่นพึมพำว่าต้องเปิด
Dictionary ทั้งวันจนเมื่อยมือไปหมดเพราะอ่าน
Legal Opinion ไม่รู้เรื่อง
พวกเราจึงรู้สึกโชคดีเป็นอันมากที่ไม่ต้องถูกส่งไปอยู่กองกฎหมายต่างประเทศ
หรือที่เรามักเรียกสั้น ๆ ว่า “กองเทศ”แต่พอวันรุ่งขึ้น พี่ฝ่ายการเจ้าหน้าที่คนเดียวกันมาบอกว่าผมต้องไปอยู่กองกฎหมายต่างประเทศสลับกับเพื่อรุ่นพี่คนนั้นเพราะเหตุส่งตัวผิดเนื่องจากเขาเห็นหน้าคล้าย
ๆ กัน ระหว่างเก็บของเพื่อย้ายที่ตั้ง เราสองคนเดินสวนกันบริเวณบันได
เพื่อนรุ่นพี่คนนั้นอวยพรผมว่าขอให้โชคดี ตอนแรกผมก็นึกเคืองเขาอยู่เหมือนกัน แต่หลายปีผ่านไป ผมกลับรู้สึกว่าผมโชคดีจริง ๆ ที่ได้อยู่กองเทศ
* * *
กว่าที่ผมจะได้พบกับท่านอาจารย์รองพลฯนั้นก็เป็นเวลาหลังจากที่ผมทำงานแล้วหนึ่งสัปดาห์ เพราะอาจารย์รองพลฯซึ่งเป็นผู้อำนวยการกองไปราชการต่างประเทศ วันนั้นผมไปถึงที่ทำงานราว ๗.๐๐ นาฬิกา ซึ่งนับว่าเช้ามาก
ทุกอย่างคงเหมือนเดิมยกเว้นกระจกห้องผู้อำนวยการกองที่มีไอเย็นจับจนเป็นฝ้า และเมื่อผมเดินเข้าไปในกอง
ท่านเปิดประตูออกมาและเรียกผมเข้าไปทำงานในห้องของท่านที่พวกเรามักแอบเรียกลับหลังว่า “ห้องเย็น”
เพราะเป็นห้องเดียวในชั้นห้าที่ติดแอร์นอกจากห้องสมุด วันแรก ๆ ที่ทำงานกับท่านนั้น
อาจารย์รองพลฯให้ผมนั่งโต๊ะเดียวกับท่านโดยนั่งฝั่งตรงกันข้าม
ทำหน้าที่สำคัญคือตรวจปรู๊ฟคำผิดคำถูกให้งานที่ท่านทำขึ้นทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
พอเริ่มคุ้น ๆ กับงาน
ท่านก็เริ่มให้ผมออกกำลังในระหว่างทำงานด้วยการวิ่งไปค้นและหยิบยืมหนังสือต่าง ๆ
จากห้องสมุดให้กับท่าน บางทีก็ต้องไปค้นและยืมตำรากฎหมายภาษาต่างประเทศจากห้องสมุดคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
รวมทั้งฉีกหนังสือราชกิจจานุเบกษาที่เกี่ยวกับกฎหมายออกมารวมแยกไว้เพื่อเย็บเป็นเล่มอ้างอิงชุดที่เก็บไว้ในห้องสมุด
* * *
หน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งของผมก็คือการเป็นเด็กถ่ายเอกสาร
ทำเอกสารโรเนียวและจัดสารบบเอกสารของกองเทศทั้งหมด รวมทั้งเป็นคนรับโทรศัพท์และประสานงานทางโทรศัพท์แทนอาจารย์รองพลฯเกือบทุกเรื่อง
ขณะที่เพื่อนรุ่นพี่ที่เข้าทำงานพร้อม ๆ กันเกือบทุกคนเขาได้รับมอบหมายให้ทำงานตรวจร่างกฎหมายกันบ้างแล้ว
บางคนก็ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ผู้ช่วยเลขานุการกรรมการร่างกฎหมายอันเป็นตำแหน่งในฝันของพวกเราเพราะได้เบี้ยประชุมด้วย
นับว่าผมแทบจะไม่มีความก้าวหน้าในการทำงานเลย แถมผมยังต้องมาทำงานเช้ามาก
เพราะท่านอาจารย์รองพลฯจะมาถึงที่ทำงานเป็นคนแรกของกองเสมอ โดยจะมาถึงประมาณ ๖.๓๐
น. ส่วนผมก็ยึดตำแหน่งที่สองเหนียวแน่นเช่นกันที่ประมาณ ๗.๐๐ น. และทันทีที่ไปผมถึง
กองเทศก็จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่แม้จะยังไม่ถึง ๘.๓๐ น. ก็ตาม ดังนั้น ใครที่พูดกับผมว่าราชการเช้าชามเย็มชาม จึงต้องถูกผมโต้เถียงคอเป็นเอ็นเสมอ
* * *
อาจารย์รองพลฯไม่เคยบอกผมสักทีว่าทำไมจึงมอบให้ผมทำงานเป็นม้าใช้เช่นนั้น
เพียงแต่บอกว่าอะไรที่หยิบยืมมาให้จำชื่อผู้แต่งไว้
แถมบางเล่มท่านยังบังคับให้อ่านและสรุปสดให้ท่านฟังด้วยซึ่งทำให้ผมอายแสนจะอายเพราะภาษาอังกฤษของผมในตอนนั้นจัดอยู่ในขั้นอ่อนแอ
ขณะที่ท่านจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยโมแนช เครือรัฐออสเตรเลีย ส่วนที่มอบหมายให้ตรวจปรู๊ฟก็อย่าให้ผิดพลาด
การถ่ายเอกสารหรือโรเนียวกระดาษต้องสะอาดและใช้ของหลวงทุกอย่างให้คุ้มค่า อย่าให้เสียเปล่า เพราะเงินที่ซื้อนั้นมาจากภาษีของประชาชน และเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น ผมก็ได้แต่นึกน้อยใจว่าทำไมเราช่างอาภัพเช่นนี้หนอ
ผลการเรียนที่ธรรมศาสตร์ก็ไม่ได้ขี้เหร่ แต่ต้องมาทำงานอะไรก็ไม่รู้ อยู่กรมร่างกฎหมายแท้ ๆ วัน ๆ หนึ่งได้แต่ตรวจปรู๊ฟ
วิ่งไปวิ่งมาระหว่างห้องสมุดกับห้อง ผอ. หรือไม่ก็ไปทำเอกสารในห้องโรเนียว ทำเรื่องตั้งงบประมาณ
ทำเรื่องเบิกพัสดุ ว่างนักก็นั่งฉีกราชกิจจานุเบกษาไปอ่านไปเพื่อฆ่าเวลา ซึ่งงานอย่างหลังนี้พอจะทำให้ผมมีความสุขอยู่บ้างเพราะผมชอบอ่านหนังสือ และการฉีกราชกิจจานุเบกษาก็ทำให้ผมรู้ว่ากฎหมายแต่ละระดับนั้นมีวิธีการเขียนแตกต่างกัน
ส่วนเรื่องเจรจาทางโทรศัพท์แทนท่านนั้นก็เป็นอาชีพหลักอีกอย่างหนึ่งของผมเช่นกัน แต่ผมเองก็ไม่เคยถามท่านเหมือนกันว่าทำไมจึงให้ผมทำงานเบ๊เช่นนี้
* * *
จนเมื่อวันหนึ่งท่านจัดโต๊ะทำงานให้ผมนอกห้องเย็นและให้ผมทำงานที่โต๊ะนั้นได้
อาจารย์รองพลฯจึงเฉลยให้ผมฟังว่า
การเป็นนักร่างกฎหมายที่ดีนั้นต้องมีความละเอียดรอบคอบ เป็นระเบียบเรียบร้อย มีความรู้ทางวิชาการแน่น และต้องมีศิลปะในการเขียนและการพูดให้กระชับและชัดเจนไม่เยิ่นเย้อ
การที่ท่านให้ผมจัดระบบเอกสารของกองใหม่ทั้งหมด นอกจากจะเป็นประโยชน์แก่การค้นของกองแล้ว ยังทำให้ผมรู้จักการจัดทำ Documentary System
ด้วยเพราะผมอายุยังไม่มากนักและหากได้รับทุนไปศึกษาต่อต่างประเทศ การจัดระบบเอกสารที่ดีจะเป็นประโยชน์ในการเขียน Essay หรือ Dissertation ในระดับชั้นปริญญาโทและปริญญาเอกต่อไป (และผมก็ได้ใช้ประโยชน์จากการรู้จักทำ
Documentary System จริง ๆ
เมื่อได้รับทุนไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศซึ่งทำให้ผมสำเร็จการศึกษาก่อนกำหนดหนึ่งภาคการศึกษา) การฉีกราชกิจจานุเบกษาก็ไม่ใช่แค่ฉีกให้ขาด แต่ต้องอ่านไปพร้อมกันด้วย
ซึ่งจะทำให้ผู้ฉีกทราบถึงเนื้อหาสาระและแบบการเขียนกฎหมายแต่ละระดับที่แตกต่างกัน หรือการที่ท่านใช้ให้ผมไปหยิบยืมหนังสือห้องสมุดก็เพื่อให้ผมคุ้นเคยกับระบบห้องสมุดและตำราที่เป็น Authority
ของแต่ละสาขาวิชาเพื่อประโยชน์ในการทำงานและผลิตผลงานวิชาการของผมเองในอนาคต การให้เจรจาโทรศัพท์แทนท่านก็เพื่อจะได้รู้จักการติดต่อประสานงานและการพูด
การรับผิดชอบจัดทำงบประมาณและการเบิกพัสดุของกอง รวมทั้งไปโรเนียวหรือถ่ายเอกสาร
ก็เพื่อเตรียมให้รู้จักการบริหารจัดการทรัพยากรและการบริหารพัสดุ
เพราะสายงานนิติกรส่วนใหญ่อ่อนด้านการบริหารจัดการและการพัสดุ ผมจึงมาถึงบางอ้อว่าท่านพยายามสร้างพื้นฐานในการทำงานร่างกฎหมายให้กับผม
แม้จะเป็นงานที่ดูต่ำต้อยกว่างานของคนอื่นก็ตาม
* * *
เมื่อมีโต๊ะนั่งเป็นของตัวเองแล้ว
อาจารย์รองพลฯจึงมอบหมายงานให้ทำเป็นเรื่องเป็นราวกับเขาบ้าง นั่นก็คือ
การเขียนหนังสือโต้ตอบทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จำได้ว่าหนังสือที่ทำฉบับแรกเป็นภาษาไทยถูกแก้เสียจนดำปื๊ดเต็มหน้ากระดาษไปหมด
อาจารย์มีความสามารถในการใช้เส้นโยงไปโยงมาเพื่อเชื่อมความเดิมกับความที่ท่านแก้ไขเพิ่มเติมเข้าไป
ท่านสั่งให้แก้ด่วนเพราะต้องส่งออก ผมเห็นต้นฉบับแล้วก็สะเทือนใจ
รู้สึกว่าตัวเองใช้การไม่ได้เลย แต่พี่ที่อยู่กองเทศด้วยกันเห็นเข้าก็ปลอบว่าเป็นเรื่องปกติ
ไม่แก้สิแปลก ผมจึงพอมีแก่ใจแก้แล้วนำไปเสนอท่าน
ท่านคงเห็นผมหน้ามุ่ยจึงสอนว่าวิธีการหนังสือราชการต้องสั้นกระชับได้ใจความ
ย่อหน้าแรกเป็นการท้าวความ ย่อหน้าที่สองจะเป็นสิ่งที่เราต้องการสื่อสาร
ส่วนย่อหน้าที่สามจะเป็นข้อเสนอ ไม่ใช่นึกอยากเขียนอะไรก็เขียน และให้ไปศึกษารูปแบบการเขียนหนังสือราชการจากระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณฯ นอกจากนี้ สำนวนที่ผมเขียนนั้นเป็นภาษาพูดไม่ใช่ภาษาเขียน
ท่านจึงปรับให้เป็นภาษาเขียน สิ่งที่สำคัญคือ
ขอให้ผมจำสำนวนที่ท่านแก้ไว้และนำไปใช้ในคราวต่อไป ท่านบอกว่าท่านเป็นผู้อำนวยการกองแล้ว
การแก้หนังสือโต้ตอบถือเป็นภาระของท่าน เพราะท่านไม่สามารถนำไปประเมินเพื่อเลื่อนระดับได้ และการแก้มากมายนั้นก็มิใช่เพื่อความสะใจหรือสนุกสนาน
แต่เพื่อสอนน้อง ๆ ให้ทำงานดีขึ้น เพราะถ้าลูกน้องทำงานเก่ง
ท่านซึ่งเป็นหัวหน้าย่อมสบายในภายหลัง การสอนแบบของท่านทำให้ผมพัฒนาวิธีการเขียนมากขึ้นและได้นำมาใช้จนถึงบัดนี้
และเมื่อมีโอกาสเป็นหัวหน้างาน ก็พยายามสอนน้อง ๆ แบบเดียวกับที่ท่านสอนผมด้วย ซึ่งก็มีคนเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง
ทั้งที่ได้อธิบายเหตุผลอย่างที่ท่านเคยอธิบายให้ผมฟังแล้วก็ตาม
* * *
การแก้หนังสือถือเป็นเรื่องที่ผมโดนเป็นปกติ
จนมาวันหนึ่งท่านให้ผมเขียนหนังสือถึงเอกอัครราชทูตประเทศหนึ่งเพื่อเสนอท่านเลขาธิการฯลงนาม ผมก็ทำไปตามปกติ คิดว่าประเดี๋ยวก็โดนแก้อีก แต่คราวนี้ท่านเซ็นผ่านเสียเฉย ๆ แบบไม่ดูเลย แล้วให้ผมนำไปเสนอท่านเลขาธิการฯ ลงนามทันทีเพราะเป็นเรื่องด่วนที่สุด ผมจึงทักขึ้นว่าท่านจะไม่ดูเสียหน่อยหรือ
ท่านบอกว่าท่านดูมานานแล้ว ใช้ได้แล้ว ไม่ต้องแก้ และก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปโดยไม่ใส่ใจผมอีก ผมจึงนำหนังสือนั้นออกมาจากห้องเย็นมาโชว์ใครต่อใครก่อนแล้วจึงวิ่งไปเสนอท่านเลขาธิการฯลงนาม
วิธีการของท่านทำให้ผมมั่นใจมากขึ้น
แต่ก็ระมัดระวังมากขึ้นเช่นกันเพราะไม่อยากทำให้ครูต้องมาเสียหายไปกับผม หากว่าผมทำงานบกพร่อง
* * *
การแก้งานด้วยลายมือพร้อมเส้นโยงใยไปมาน่าเวียนหัวนั้น
ผมทึกทักเอาเองว่าเป็น “อัตลักษณ์” ของชาวกฤษฎีกา เพราะเมื่อเข้ารับราชการก็พบเห็นวัตรปฏิบัติเช่นนี้มาโดยตลอด
ยิ่งถ้าไปค้นเรื่องเสร็จเก่า ๆ
ดูก็จะพบว่าเป็นสิ่งที่พวกเราปฏิบัติมาตลอดตั้งแต่เป็น “กรมร่างกฎหมาย” สังกัดกระทรวงยุติธรรม
ในสมัยล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๖ ทีเดียว ในทัศนะของท่านอาจารย์รองพลฯ
ท่านบอกกับผมว่าการปรับปรุงแก้ไขผลงานให้ดีที่สุดที่จะทำได้นั้นถือเป็นความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชาทุกระดับ
เพื่อให้งานที่ส่งออกไปจากสำนักงานฯนั้นมีคุณภาพดีที่สุด และที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ต้องทำภายในระยะเวลาที่น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วย
เพราะหน่วยงานที่ขอหารือมาที่สำนักงานฯนั้นประสบปัญหาในการปฏิบัติราชการอันเนื่องมาจากปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น
หากเราทำงานล่าช้า นั่นย่อมหมายถึงความเสียหายแก่ราชการ
ท่านจึงเข้มงวดกับผมเสมอว่าการทำงานต้องดีที่สุดและเร็วที่สุด และผมไม่เคยพบแม้แต่ครั้งเดียวว่าท่านสั่งแก้งานด้วยวาจา
ทุกครั้งที่แก้ไข ท่านอาจารย์รองพลฯจะแก้งานเองด้วยปากกาหมึกซึมทั้งสิ้น
และไม่มีการแก้ด้วยดินสอแล้วลบออกในภายหลัง
* * *
เรื่องกริยามารยาทท่านก็อบรมสั่งสอนเช่นกัน
แต่เป็นการอบรมภาคปฏิบัติ โดยท่านจะพาพวกเราไปรับประทานอาหารตามสถานที่ต่าง ๆ และคอยดูกริยามารยาทของแต่ละคน
แล้วจึงค่อย ๆ สอนว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ
การรับประทานอาหารฝรั่งต้องใช้อุปกรณ์อะไรก่อนหลัง หรือสมควรรับประทานอะไรก่อนหลัง
น้อง ๆ หน้าใหม่มักโดนอยู่เสมอเวลาท่านพาไปรับประทานบุปเฟ่ต์อาหารฝรั่ง แต่ดันวกไปตักข้าวผัด หรือขนมจีนแกงไก่ ว่า “ของแบบนั้นไปกินแถวท่าพระจันทร์ก็ได้” และที่สำคัญ ท่านห้ามพวกเรานำของกินเล่นต่าง ๆ
มารับประทานในระหว่างเวลาราชการเด็ดขาด
เหตุผลคือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ใช่ร้านอาหาร แต่เป็น “มืออาชีพ” ด้านการร่างกฎหมาย ให้ความเห็นทางกฎหมาย การพัฒนากฎหมาย
และการร้องทุกข์ (สมัยนั้นสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับผิดชอบงานร้องทุกข์ด้วย)
เป็นสถานที่ราชการ จึงอาจมีผู้เข้ามาติดต่อประสานงานอยู่ตลอดเวลา ท่านให้ผมคิดเอาเองว่าหากผมไปติดต่องานกับ
“มืออาชีพ” ที่อื่น แล้วไปเห็นว่า “มืออาชีพ”
เหล่านั้นกำลังนั่งโจ้ของขบเคี้ยวอยู่อย่างเพลิดเพลินในระหว่างเวลาทำงาน หรือนั่งกอดตุ๊กตาหมี ผมจะให้
“ความเชื่อถือ” แก่ “มืออาชีพ” เหล่านั้นต่อไปหรือไม่ และอีกประการหนึ่งนั้นต้องคิดด้วยว่ากลิ่นอาหารที่เรานำไปรับประทานนั้นอาจรบกวนผู้ร่วมงานได้
ถ้ามีผู้ใดอุตรินำปลาหมึกปิ้ง ทุเรียน หรือของที่มีกลิ่นรุนแรงเข้ามารับประทานในห้องทำงาน อาจมีผู้ร่วมงานบางคนซึ่งไม่ชอบกลิ่นอาหารดังกล่าวเขาจะพอใจหรือไม่
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นห้องทำงานที่ติดเครื่องปรับอากาศ
หรือถ้าต้องเตรียมตัวเพื่อเข้าประชุมไม่ว่าจะที่ใด กลิ่นอันไม่พึงประสงค์นี้ก็อาจติดอยู่ตามเสื้อผ้าและตามไปหลอกหลอนเจ้าของเสื้อผ้านั้นตามสถานที่ต่าง
ๆ ได้ ดังนั้น ทุกครั้งที่ผมได้กลิ่นอาหารในห้องทำงาน
มันจะเตือนผมให้นึกถึงท่านอาจารย์ทุกครั้ง
* * *
“การดำรงตน”
เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ท่านสอน ที่สำคัญคือให้ซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่
ใครเขาจะให้อะไรเพื่อตอบแทนการทำงานในหน้าที่ราชการของเรา ห้ามรับเด็ดขาด
ถือว่าทุจริตต่อหน้าที่เพราะที่เราทำเราได้รับเงินเดือนจากทางราชการตอบแทนแล้ว
อยากได้อะไรก็ใช้เงินเดือนไปซื้อเอา อีกอย่างหนึ่งคืออย่าไป “ขอ” อะไรจากใคร เพราะจะทำให้เราติดหนี้เขา
ถ้าเขามา “ขอ” เราคืนบ้าง อาจทำให้เราไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาตามหลักวิชาการได้
จำได้ว่าเรื่องนี้เคยมีปัญหาขึ้นครั้งหนึ่งสมัยที่ผมยังเป็นซีสามอยู่ ครั้งนั้นท่านอาจารย์รองพลฯสั่งให้ผมไปประสานงานกับสถานทูตประเทศหนึ่งเกี่ยวกับตัวบทกฎหมายของประเทศนั้น
เพราะสมัยนั้นยังไม่มีกูเกิ้ล พอดีท่านทูตเพิ่งมารับตำแหน่งและมีเวลาว่าง จึงได้กรุณามาคุยด้วย
หลังจากพูดคุยกันจนเมื่อยมือแล้ว ผมจึงขอตัวกลับ วันต่อมา
ท่านทูตได้กรุณาให้พนักงานขับรถของสถานทูตนำของขวัญมาให้ผมหนึ่งกล่อง
ผมไม่รู้จะทำอย่างไร จึงถือของขวัญที่ว่านั้นไปปรึกษาอาจารย์รองพลฯ ท่านบอกว่ารับไว้ไม่ได้เพราะไม่มีเหตุที่จะรับไว้ได้
เนื่องจากช่วงนั้นก็ไม่ใช่ช่วงเทศกาล จะเรียกว่าให้ตามเทศกาลก็ไม่ได้ และสั่งให้ผมนำไปคืนทันที
ผมก็รีบนำไปคืนท่านทูตที่สถานทูตพร้อมอธิบายเหตุผลให้ท่านฟัง ท่านทูตดูท่าจะงง ๆ
อยู่ แต่ก็ไม่ยอมแพ้ เพราะเมื่อถึงเทศกาลคริสต์มาสปีนั้น ท่านทูตส่งของขวัญมาให้อีก คราวนี้มาพร้อมจดหมายที่ระบุตัวผู้รับของขวัญ
ผมไม่รู้จะทำอย่างไรจึงหารือท่านอีก
ท่านจึงสั่งให้ผมทำบันทึกเสนอท่านเลขาธิการฯวินิจฉัยเพราะไม่เคยเกิดกรณีเช่นนี้มาก่อน ท่านเลขาธิการฯเห็นว่าเป็นช่วงเทศกาลจึงมีคำสั่งให้รับไว้ได้
และให้ผมมีหนังสือไปขอบคุณท่านทูตตามมารยาทด้วย
* * *
นอกจากความซื่อสัตย์สุจริต
ท่านสอนผมเสมอว่าอย่าไปเกี่ยวข้องกับอบายมุขทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นสุรานารีพาชีบัตร สำหรับสิ่งมึนเมานั้นท่านไม่ได้ห้าม
แต่สอนให้ดื่มแบบมีสติยั้งคิด ให้ดื่มเป็นมารยาทหรือตามธรรมเนียม และให้หยุดเมื่อควรต้องหยุด
ไม่ใช่ต้องเมาก่อนหรือหมดสติก่อนจึงหยุด เพราะนอกจากจะเสียงานเสียการแล้วยังเสียชื่อเสียงด้วย
ทั้งยังกระทบโดยตรงต่อชื่อเสียงเกียรติภูมิของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ไม่เคยด่างพร้อยในเรื่องนี้
* * *
ในฐานะนักวิชาการ
ท่านสอนผมเสมอว่าต้องซื่อสัตย์ สิ่งใดรู้ต้องรู้ให้จริง ถ้าสิ่งใดไม่รู้
ต้องยอมรับว่าไม่รู้ เพราะไม่มีใครรู้ทุกเรื่อง อย่า “จินตนาการ” เอาเอง
เพราะจะทำให้ระบบการให้เหตุผลตามตรรกะเสียหาย ท่านสั่งนักหนาว่าถ้าไม่รู้เรื่องใด ให้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม
ต้องหาหลักฐานเอกสารทางวิชาการมาอธิบายให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเป็นมาหรือวิวัฒนาการของเรื่องนั้นตามหลัก
Historical Approach
นอกจากนี้ ที่ท่านกรุณาพร่ำสอนอีกอย่างหนึ่งคือเด็กกองเทศต้องเป็น “นักสังเกตการณ์สังคม” เพื่อจะได้ศึกษาเปรียบเทียบกฎหมายได้อย่างถูกต้อง
ซึ่งหมายความว่าเด็กกองเทศต้องอ่านหนังสือมาก ๆ
ทั้งหนังสือตำรากฎหมายและหนังสือสาขาอื่น รวมทั้งต้องติดตามข่าวสารต่าง ๆ
ตลอดเวลาเพื่อให้เป็น “คนทันโลก”
เพราะกฎหมายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากความต้องการของคนซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
ถ้าเราตามโลกไม่ทันเราจะกลายเป็นคนเชย ๆ พูดกับใครไม่รู้เรื่อง
และจะไม่สามารถร่างกฎหมายให้ใคร ๆ ได้เลย ซึ่งผมรู้ในภายหลังว่าสิ่งที่ท่านสอนนั้นเป็นหลักกฎหมายเปรียบเทียบของศาสตราจารย์
Ernst Rabel นักกฎหมายเปรียบเทียบผู้ยิ่งใหญ่ของโลกนั่นเอง
* * *
เมื่อผมได้รับทุนไปศึกษาต่อต่างประเทศ
อาจารย์รองพลฯได้เลือกมหาวิทยาลัยและวิชาที่จะร่ำเรียนให้ผมเสร็จสรรพ
เหตุที่ท่านทำเช่นนี้เพราะท่านต้องการให้ผมไปเรียนในสาขาวิชาที่ตรงกับความต้องการของสำนักงานฯมากที่สุด ไม่ใช่เพื่อให้ผมเรียนง่ายที่สุด
แถมวิชาที่ท่านเลือกให้เรียนนั้นยังเป็นวิชาสุดหินที่สอนโดยศาสตราจารย์ที่ดังที่สุดในยุคนั้นของออสเตรเลียอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นวิชา Consumer
Protection Law ของ Professor
David J. Harland[๒] หรือวิชา Labor Law ของ Professor Ronald C. McCallum[๓] ซึ่งคนหลังนี้เป็นเพื่อนนักศึกษาของท่านที่ Monash University มาก่อน และก่อนที่จะไปเรียนต่อนั้น
ท่านเน้นย้ำอยู่เสมอว่าอย่าไปเรียนอย่างเดียว ให้ใช้ชีวิตประจำวันร่วมกับฝรั่งด้วย
เราจะได้รู้ว่าเขามีวิธีคิดในเรื่องต่าง ๆ
อย่างไรเพราะเป็นพื้นฐานอันจำเป็นในการทำกฎหมายเปรียบเทียบ
ประโยชน์ที่สำคัญนอกจากนี้ก็คือเพื่อให้เรา “รู้ทันฝรั่ง” นั่นเอง
ท่านบอกว่าท่านพบนักเรียนนอกหลายคนที่เชื่อฝรั่งทุกเรื่องราวกับอภิชาติบุตร
ท่านเห็นว่าวิธีคิดดังกล่าวทำให้เราต้อง “ตาม”
ฝรั่งทุกเรื่องโดยลืมวิถีของตนเองและวิถีตะวันออก เมื่อไปเรียน ผมได้พบ Professor McCallum จึงเรียนให้ทราบว่าท่านอาจารย์รองพลฯฝากความระลึกถึงมา
ผมยังจำติดหูมาจนถึงวันนี้เมื่อ Professor McCallum
พูดถึงท่านอาจารย์รองพลฯว่า “Rongphol is the cleverest man I’ve
ever met.” และเมื่อมาเล่าให้ท่านอาจารย์รองพลฯฟัง ท่านบอกว่า
Professor McCallum
เป็นคนที่พูดภาษาอังกฤษได้สวยที่สุดเท่าที่ท่านเคยพบมา และเล่าให้ฟังต่อไปว่าท่านสอบได้คะแนนดีเด่นทุกวิชา
แต่ Professor McCallum
เป็นเพียงคนเดียวที่สามารถทำให้ท่านสอบได้คะแนนแบบผ่านในวิชาศาลจำลอง
เพราะความสามารถในการพูดและไหวพริบอันโดดเด่นของ Professor McCallum นั่นเอง
* * *
ทั้งหมดที่ผมเล่ามานี้เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของท่านอาจารย์รองพลฯที่ผมรู้จักในฐานะผู้บังคับบัญชาคนแรกในชีวิตราชการของผม
และเป็นผู้ที่วางรากฐานอันแน่นหนาให้แก่ผมในการรับราชการ ยังมีความทรงจำดี ๆ เกี่ยวกับท่านอีกมากมายที่ยังคงสว่างสุกใสอยู่ในใจผมโดยไม่สามารถบรรยายออกมาได้หมด ผมไม่ทราบว่าผู้อื่นจะมีทัศนะต่อท่านอย่างไรเพราะชีวิตคนเรามิได้แตกต่างจากเหรียญที่มีสองด้าน
แต่สำหรับผม ท่านอาจารย์รองพลฯยังคงเป็นผู้บังคับบัญชาที่เคารพและเป็นครูที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของผมเสมอ
* * *
[๑]กรรมการร่างกฎหมายประจำ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรกฎาคม ๒๕๕๔)
[๒]Former Professor, Faculty of Law, The University of Sydney Former Editor ของ Consumer
Law Journal ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว
[๓]AO, Senior Australian Award, Professor Emeritus, Faculty of Law,
The University of Sydney ปัจจุบันเป็น Chair of the United Nations Committee on the Rights of Persons with Disabilities
ขอบคุณคะ สำหรับแนวคิดต่างๆล
ตอบลบเป็นเรื่องราวที่สวยงามมากๆค่ะ
ตอบลบ