นายปกรณ์ นิลประพันธ์
กรรมการร่างกฎหมายประจำ
(นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ)
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ในราวสิบปีก่อน
ผู้เขียนเคยมีโอกาสร่วมทำงานวิจัยเรื่องพื้นที่สีเขียวในชุมชนเมืองร่วมกับศูนย์วิจัยป่าไม้
คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นับว่าเป็นโอกาสอันดีในชีวิตของลูกหลานชาวสวนที่เกิดและโตมากับต้นไม้ใบหญ้า
ตอนที่ทำวิจัยนั้น ป่าไม้ยังมากกว่านี้
ชุมชนเมืองยังมีพื้นที่สีเขียวมากกว่านี้ แต่จำได้แม่นยำว่าในวันที่แถลงผลการศึกษาวิจัย
คณะผู้วิจัยนำเสนอว่าอีกสิบปีข้างหน้าชุมชนเมืองระดับเทศบาลขึ้นไปเกือบทุกแห่งทั่วประเทศจะมีพื้นที่สีเขียวน้อยมากเมื่อเทียบกับอัตราส่วนกับประชากร
เพราะการใช้ประโยชน์ในที่ดินในยุคบริโภคนิยมจะมุ่งเน้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เห็นผลได้ในระยะสั้นโดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว
เมื่อเราแถลงผลการทำนายว่าจะมีการเปลี่ยนสีผังเมืองกันอย่างมากและพื้นที่สีเขียวจะลดลงในอัตราที่น่าตกใจ
และเมื่อถึงเวลานั้นชุมชนเมืองจะประสบปัญหาน้ำท่วมหรือน้ำแล้งซ้ำซากและรุนแรงมากขึ้นเรื่อย
ๆ เพราะพื้นที่สีเขียวอันเป็นเครื่องมือตามธรรมชาติในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งจะเหลือน้อยมาก
พลันก็มีเสียงหัวเราะอย่างขบขันดังกระหึ่มขึ้นในหอประชุม
ผู้เขียนก็ได้แต่หวังใจว่าเมื่อคณะผู้วิจัยได้แสดงทัศนะในทางวิชาการที่วางอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ผ่านการคิดวิเคราะห์ต่อสาธารณะไปแล้ว
ก็คงได้แต่รอว่าจะมีอะไรดีขึ้นมาบ้าง
จวบจนถึงวันนี้ สิ่งที่ปรากฏเป็นไปตามการพยากรณ์ของคณะผู้วิจัย
ผู้คนจำนวนมากเริ่มโหยหาพื้นที่สีเขียวเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ แต่มีจำนวนไม่มากนักที่ตระหนักว่าพื้นที่สีเขียวมิได้มีประโยชน์เพียงแค่สร้างความสวยงามให้เมืองหรือเป็นเครื่องฟอกอากาศให้แก่ชุมชนเมือง
หรือเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชุมชนเมือง หากแต่เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการป้องกันและบรรเทาปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง
และเป็นกลไกตามธรรมชาติที่ไม่ต้องลงทุนให้มากมายอะไร แต่อาจขัดใจ Capitalists อยู่บ้าง
ในยามน้ำมาก พื้นดินที่ไม่มีสิ่งปลูกสร้างปกคลุมและพื้นที่สีเขียวจะเป็นช่องทางในการที่ดินจะดูดซับน้ำผิวดินลงไปใต้ดินโดยไม่ต้องใช้ท่อระบายน้ำ
ในยามน้ำน้อย
น้ำที่ถูกดูดซับลงไปใต้ดินผ่านพื้นดินที่ไม่มีสิ่งปลูกสร้างปกคลุมและพื้นที่สีเขียวจะช่วยรักษาสภาพโครงสร้างของชั้นดินไม่ให้แห้งจนเกินไปจนกระทั่งชั้นดินทรุดตัวลงเกิดเป็นหลุมยุบหรือถนนยุบ
น่าเสียดายที่ไม่มีใครสนใจข้อเท็จจริงนี้มากนัก
ปัจจุบัน ชุมชนเมืองมีสิ่งปลูกสร้างที่ปกคลุมพื้นดินมากมายที่ทำจากคอนกรีตและแอสฟัสต์
ไม่ว่าจะเป็นอาคารบ้านเรือน ถนนหนทาง ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ดูดซับน้ำได้น้อยมาก
เมื่อเกิดฝนตก น้ำจึงขังอยู่บนพื้นผิว ไม่มีที่ไป
การระบายน้ำจึงต้องอาศัยท่อระบายน้ำเป็นหลัก ถ้าท่อตันก็จบกัน
ส่วนน้ำที่ไหลลงท่อระบายน้ำได้ก็จะถูกส่งผ่านไปยังแม่น้ำลำคลองทันที
พื้นดินข้างใต้แทบไม่มีโอกาสได้ดูดซับน้ำจนอิ่มตัวเหมือนเช่นที่เคยเป็นตามธรรมชาติ
ระดับน้ำใต้ดินก็น้อยลง พื้นดินก็ทรุดลง ดังนั้น
จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเวลาฝนตกทีหนึ่งจึงเกิดน้ำขังในเขตชุมชนเมืองและพื้นที่ในเขตชุมชนเมืองทรุดลงไปเรื่อย
ๆ
สังเกตไหมครับว่าชุมชนติดทะเลบางแห่ง
เช่น เมืองพัทยา เป็นต้น
ฝนตกหนักหลายถึงกับทำให้เกิดสภาพน้ำขังบนถนนท่วมหลังคารถเก๋งทีเดียว
เพราะนอกจากสภาพพื้นจะเปลี่ยนไปโดยเต็มไปด้วยคอนกรีตและแอสฟัสต์ปิดทับหน้าดินแล้ว
การสร้างถนนหนทางมากมายนั้นยังขวางทางน้ำไหลตามธรรมชาติอีกด้วย
ถ้าเราเปลี่ยนพื้นที่ที่มีคอนกรีตและแอสฟัสต์ปิดทับหน้าดินให้เป็นพื้นที่สีเขียวให้มากขึ้น
พื้นที่ดังกล่าวก็จะเป็นช่องทางในการดูดซับน้ำที่ว่านี้ลงไปสู่ดินที่กำลังแห้งใต้พื้นคอนกรีต
ก็คงจะช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้นไปได้มิใช่น้อย
อังกฤษเคยเกิดน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี
2007 และมีการศึกษาอย่างจริงจังถึงมาตรการตามธรรมชาติที่สามารถบรรเทาหรือลดความรุนแรงปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งที่มาคู่กันอยู่เสมอ
ผลการศึกษาของเขาประการหนึ่งก็แนะนำให้มีการควบคุมการก่อสร้างสิ่งปกคลุมหน้าดินโดยให้ก่อสร้างเท่าที่จำเป็นโดยเหตุผลอย่างที่ว่าเหมือนกัน
แถมยังออกกฎหมายด้วยว่าการออกแบบก่อสร้างต่าง ๆ
ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพธรรมชาติด้วย
แถมด้วยกฎหมายที่กำหนดให้ใช้เฉพาะวัสดุก่อสร้างที่มีคุณสมบัติที่ยอมให้น้ำไหลผ่านลงไปใต้ดินได้ตามมาตรฐานที่กำหนดด้วย
ผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดต่อได้ในอินเตอร์เน็ตโดยใช้คำค้นว่า “Sir Michael Pitt’s Review of the
Summer 2007 Floods”
สำหรับบ้านเรา ถ้าถามว่ากฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันเอื้อให้มีการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในชุมชนเมืองหรือไม่
คณะผู้วิจัยศึกษาแล้วพบว่าตัวบทกฎหมายต่าง ๆ นั้นเอื้ออยู่แล้ว
ยิ่งถ้าทางราชการทำให้เป็นตัวอย่างก็จะเป็นการชี้นำสังคมได้ดียิ่งขึ้นโดยใช้เพียง
“มติคณะรัฐมนตรี” เท่านั้น แต่ลองสำรวจการใช้พื้นที่ของหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ
ดูสิครับว่ามีสักกี่แห่งที่มีพื้นที่สีเขียวอันประกอบด้วยไม้ยืนต้นเป็นองค์ประกอบถึงร้อยละสิบห้าของพื้นที่?? ส่วนใหญ่พื้นที่ที่ไม่มีหลังคาคลุมจะถูกเทปูนเพื่อจัดเป็น
“ที่จอดรถ” เสียสิ้น
ส่วนกฎหมายควบคุมอาคารกำหนดให้มีที่ว่างจริง
แต่เจ้าของจะใช้ที่ว่างนั้นปลูกต้นไม้ ทำบ่อน้ำ หรือที่จอดรถก็ได้
ผู้คนจึงเทปูนที่ว่างนั้นทำเป็นที่จอดรถเสียหมดเช่นเดียวกับหน่วยงานของรัฐ
ห้องแถวแบบไทย ๆ จึงไม่มีทั้ง Front yard และ Backyard แต่จะไปโทษชาวบ้านเขาก็ลำบากเพราะการปลูกต้นไม้ในบ้านนั้นมีต้นทุนในการบำรุงรักษา
บางทีรากไม้ไชบ้านแตกก็มี
กิ่งไม้หักหล่นไปนอกบ้านไปโดนคนโดนรถที่จอดอยู่นอกรั้วบ้านก็ต้องรับผิดชอบอีก
แถมเมื่อตัดแต่งกิ่งแล้วนำไปทิ้ง
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเขาก็ไม่รับขนไปทิ้งเสียอีก นัยว่าไม่เป็นขยะ
ต้องจ้างกันเป็นพิเศษ
วัดวาอารามต่าง ๆ เดี๋ยวนี้ก็เต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างพะรุงพะรัง
พื้นที่ที่มีอยู่ก็เทปูนกันหมดเพื่อสะดวกแก่การจอดรถของญาติโยมที่จะมาทำบุญ หรือไม่ก็เพื่อประโยชน์ในการเปลี่ยนลานวัดเป็นตลาดนัด
จะหาวัดที่เป็นพื้นที่สีเขียวได้ยากเย็นเต็มทีแม้กระทั่งวัดป่า
กล่าวโดยสรุป ผู้เขียนเห็นว่าการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเขตชุมชนเมืองเป็นส่วนหนึ่งในมาตรการบริหารจัดการน้ำเช่นกัน
โดยเป็นมาตรการควบคุมการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ ไม่ต้องลงทุนก่อสร้างอะไรมาก
แม้ไม่ได้เป็นโครงการใหญ่ แต่ก็เป็นสิ่งที่ควรต้องทำอย่างจริงจังควบคู่ไปด้วย
เพราะทุกคนมีส่วนร่วมดำเนินการได้ ทั้งนี้
ส่วนราชการควรทำให้เป็นตัวอย่างเพื่อชี้นำให้ประชาชนเดินตาม
และกฎหมายที่มีอยู่ก็อำนวยให้ดำเนินการได้อยู่แล้ว
ผมขอนำเสนอครับ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น