วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ว่าด้วยยุทธศาสตร์ชาติ

นายปกรณ์ นิลประพันธ์
กรรมการร่างกฎหมายประจำ
(นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ)
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

                   ช่วงหนึ่งถึงสองเดือนที่ผ่านมานี้มีการวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดเกี่ยวกับ “ยุทธศาสตร์ชาติ” กันอย่างมากมาย และมีการเสนอให้มีกฎหมายว่าด้วยยุทธศาสตร์ชาติขึ้นด้วย โดยมุ่งหวังว่าถ้ามีกฎหมายว่าด้วยยุทธศาสตร์ชาติขึ้นแล้ว สิ่งนี้จะทำให้ประเทศไทยเราหลุดพ้นจากกับดักต่าง ๆ นา ๆ บรรดาที่ทำให้เราเชื่องช้ากว่าเพื่อนบ้านได้

                   อย่างไรก็ดี เมื่อผู้เขียนอ่านคำอธิบายของผู้เสนอรวมทั้งข้อวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้ตามสื่อมวลชนต่าง ๆ แล้วก็ให้เกิดความสงสัย เพราะอยู่ ๆ ก็จะกำหนดให้มียุทธศาสตร์ชาติขึ้น โดยไม่มีใครกล่าวถึงสิ่งที่ต้องคิดถึงหรือกำหนดขึ้นก่อนที่จะจัดทำยุทธศาสตร์ชาติขึ้นมา ซึ่งได้แก่ “วิสัยทัศน์ของชาติ”

                   ในทางตำรา วิสัยทัศน์ (Vision) ต่างจากยุทธศาสตร์ (Strategy) โดยวิสัยทัศน์คือตำแหน่งหรือภาพของประเทศหรือองค์กรที่จะเป็นในอนาคตต่อไปข้างหน้า ซึ่งจะสั้นหรือยาวก็สุดแล้วแต่ แต่โดยมากจะยาวหน่อยเพราะการดำเนินการเพื่อเปลี่ยนลุคของประเทศหรือองค์กรให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์นั้นต้องใช้เวลาในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเรื่องต่าง ๆ มากมาย ยกตัวอย่างประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างมาเลเซียเขากำหนดวิสัยทัศน์ของประเทศมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๔ ที่รู้จักกันว่า “วิสัยทัศน์ ๒๐๒๐” ว่า เขาจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วภายในปี ค.ศ. ๒๐๒๐ (๒๕๖๓) เป็นต้น

                   ส่วนยุทธศาสตร์หรือที่นักวิชาการด้านบริหารจัดการเรียกอีกนัยหนึ่งว่า “แผนกลยุทธ์” นั้นหมายถึงแผนปฏิบัติการโดยรวมเพื่อให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ที่วางไว้ และเมื่อมียุทธศาสตร์แล้ว ก็จะมีการกำหนด “ยุทธวิธี” (Tactics) หรือที่นักการบริหารจัดการเรียกว่า “กลวิธี” ซึ่งเป็นวิธีการในรายละเอียดที่จะต้องนำมาใช้เพื่อให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ที่กำหนดอีกทอดหนึ่ง

                   ไหน ๆ ยกตัวอย่างมาเลเซียแล้ว ผู้เขียนขออนุญาตถ่ายทอดข้อความส่วนหนึ่งที่ YAB Dato’ Seri Dr. Mahathir Mohamad ได้แถลงเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ ๒๐๒๐ ต่อสภาธุรกิจชาวมาเลเซีย (Malaysian Business Council) เป็นภาษาไทย ดังนี้
                   “...[ข้าพเจ้า]หวังเป็นอย่างยิ่งว่าชาวมาเลเซียซึ่งเกิดในวันนี้และในปีหนึ่งข้างหน้านี้ (๒๕๓๕) จะเป็นพลเมืองยุคสุดท้ายที่จะเกิดในยุคที่ประเทศของเราเป็น “ประเทศกำลังพัฒนา.” เป้าหมายสุดท้ายที่เราพึงมีร่วมกันคือมาเลเซียต้องเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสมบูรณ์แบบภายในปี ๒๐๒๐ (๒๕๖๓).
                   พวกท่านอาจมีคำถามว่าการเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสมบูรณ์เป็นอย่างไร. ต้องถามกลับว่าเราต้องการที่จะเป็นอย่างประเทศ ๑๙ ประเทศที่เขาจัดว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วหรือไม่. เราต้องการเป็นอย่างสหราชอาณาจักร อย่างแคนาดา อย่างฮอลแลนด์ อย่างสวีเดน อย่างฟินแลนด์ หรืออย่างญี่ปุ่นหรือไม่. แน่นอนว่าทั้ง ๑๙ ประเทศจากทั้งหมดในโลกนี้กว่า ๑๖๐ ประเทศนั้นเขาต่างก็มีความเข้มแข็ง. แต่เขาต่างก็มีจุดอ่อนเช่นกัน. เราจึงสามารถที่จะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้โดยไม่จำเป็นต้องเลียนแบบเขาทั้งหมด. แต่เราควรต้องเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในรูปแบบของเราเอง.
                   มาเลเซียต้องไม่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ. หากเราต้องเป็นชาติที่พัฒนาแล้วอย่างสมบูรณ์ในทุก ๆ มิติ: เศรษฐกิจ การเมือง สังคม ความเข้มแข็งของชนในชาติ จิตวิญญาณ และวัฒนธรรม. เราต้องพัฒนาแล้วอย่างสมบูรณ์ในแง่ความเป็นเอกภาพของชนในชาติและความเชื่อมโยงของผู้คนในสังคมทั้งในด้านเศรษฐกิจ ความเป็นธรรมในสังคม ความมีเสถียรภาพทางการเมือง ระบบการปกครอง คุณภาพชีวิต สังคม และจิตวิญญาณ ตลอดจนมีความภูมิใจและเชื่อมั่นในชาติของเรา. ...”

                   เมื่อวางวิสัยทัศน์ของประเทศที่เป็นที่ยอมรับร่วมกันแล้ว มาเลเซียจึงไปกำหนดยุทธศาสตร์และยุทธวิธีเพื่อให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ที่ว่านั้น ซึ่งผู้เขียนมีข้อสังเกตว่าการที่มาเลเซียสามารถวางและดำเนินการให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ของเขาได้นั้น “ความมีเสถียรภาพทางการเมือง” ของมาเลเซียเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะพรรคอัมโน (United Malay National Organization: UMNO) เป็นแกนหลักของพรรคร่วมรัฐบาลมาเลเซียมาตั้งแต่ปี ๑๙๔๖ (๒๔๘๙) และนายกรัฐมนตรีมาเลเซียก็มาจากพรรคนี้นับแต่นั้นเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน  ทั้งนี้ ลักษณะเฉพาะดังกล่าวก็ปรากฏในสิงคโปร์ซึ่งทำให้รัฐบาลสามารถกำหนดวิสัยทัศน์และดำเนินยุทธศาสตร์ชาติได้อย่างต่อเนื่อง

                   สำหรับประเทศไทย ผู้เขียนเห็นว่าที่ผ่านมาเรายังไม่มีวิสัยทัศน์การพัฒนาประเทศที่ชัดเจน คงมีเฉพาะนโยบายของรัฐบาลในระยะสั้น ๆ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติซึ่งมีอายุ ๕ ปี เท่านั้น ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนจึงไม่ทราบว่าประเทศของเราจะมีภาพอย่างไรในอนาคต การดำเนินงานของภาคส่วนต่าง ๆ จึงเป็นไปอย่างไร้ทิศทาง ขาดการประสานความร่วมมือเพื่อดำเนินการให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน อีกทั้งการเมืองไทยยังไม่มีเสถียรภาพเพียงพอที่จะทำให้เกิดความมั่นใจได้ว่าเราจะเดินไปสู่จุดไหนซึ่งแตกต่างจากกรณีมาเลย์เซีย สิงคโปร์ และชาติอื่นในภูมิภาค กรณีจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการกำหนดวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ชาติให้ชัดเจนเพื่อให้ทุกหมู่ทุกฝ่ายดำเนินการให้เป็นไปตามทิศทางนั้น

                   ปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปก็คือ ใครควรเป็นผู้กำหนดวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ชาติ ในทัศนะของผู้เขียน การกำหนดวิสัยทัศน์ของประเทศ รวมทั้งยุทธศาสตร์ชาติและยุทธวิธีที่จะทำให้เป็นไปตามที่กำหนดนั้นเป็นเรื่องในทางบริหารโดยแท้ เพราะฝ่ายบริหารมี “ความรับผิดชอบที่จะบริหารประเทศเพื่อความผาสุกของอาณาประชาราษฎร์” แต่การกำหนดดังกล่าวก็ต้องเป็นที่ยอมรับของประชาชนด้วย ซึ่งผู้เขียนเชื่อโดยสุจริตว่าถ้าฝ่ายบริหารกำหนดวิสัยทัศน์ของประเทศและยุทธศาสตร์ชาติเพื่อความผาสุกของประชาชนแล้ว ย่อมได้รับความเห็นชอบจากประชาชน โดยไม่ต้องตั้งคณะกรรมการหรือหน่วยงานใหม่ ๆ ขึ้น สำหรับการกำหนดยุทธวิธีหรือกลวิธีนั้น ควรต้องดำเนินการโดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม ซึ่งปัจจุบันก็มีกลไกหรือช่องทางต่าง ๆ หลากหลายอยู่แล้ว ไม่จำต้องตั้งหน่วยงานใด ๆ ขึ้นใหม่


                   อนึ่ง ผู้เขียนเห็นว่าการทำให้วิสัยทัศน์ของประเทศและยุทธศาสตร์ชาติเป็นที่ยอมรับร่วมกันของประชาชนและมีความผูกพันรัฐบาลไม่ว่าจะมาจากพรรคการเมืองใดที่จะต้องปฏิบัติตาม เราสามารถใช้กลไกของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่มีอยู่แล้วสร้างผลผูกพันทางกฎหมายขึ้นได้ โดยการจัดให้มีการลงประชามติในวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายบริหารจัดทำขึ้น ซึ่งจะสร้างความรับรู้ร่วมกันของคนในชาติให้ก้าวเดินไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งมติมหาชนดังกล่าวจะมีผลบังคับโดยสภาพให้พรรคการเมือง หน่วยงานของรัฐ ภาคเอกชน และประชาชนสังคมต่างมีพันธกรณีที่จะต้องร่วมกันดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ที่ผ่านการลงประชามตินั้น และเมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกฝ่ายย่อมติดตามและตรวจสอบได้ว่ามีการดำเนินการให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์นั้นหรือไม่ หากจะต้องมีการแก้ไขยุทธศาสตร์ชาติที่ผ่านการประชามติไปแล้ว ก็จะต้องมีการทำประชามติใหม่ด้วยเพื่อสร้างความรับรู้ร่วมกันเพื่อที่ทุกฝ่ายจะได้ก้าวเดินไปในทิศทางเดียวกันเพื่อความสุขสถาพรอย่างยั่งยืนของลูกไทยหลานไทยในอนาคต.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น