ย่อคำพิพากษาฎีกาที่
4946/2555
(วันที่ 26 เมษายน 2555)
เรื่อง ความผิดต่อพระราชบัญญัติทางหลวง
ข้อเท็จจริงในคดีรับฟังได้เป็นที่ยุติว่า
ระหว่างวันที่ 15 มีนาคม ถึงวันที่ 6 มิถุนายน 2547 เวลากลางวันและกลางคืนติดต่อกัน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 กับพวกได้ติดตั้งกางเต็นท์พักอาศัย วางโต๊ะ เก้าอี้
เสื่อ และเครื่องครัวที่บริเวณไหล่ทางข้างถนนเพชรเกษมขาล่องด้านทิศตะวันออก ระหว่างหลักกิโลเมตรที่
218 ถึง 219 เป็นระยะทางยาวประมาณ 30 เมตร
อันเป็นเขตทางหลวงในลักษณะกีดขวางหรืออาจเป็นอันตรายแก่ยานพาหนะตามพระราชบัญญัติทางหลวง
พ.ศ. 2535 มาตรา 38 วรรคหนึ่ง
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่
1 ที่ 2 และที่ 4 ประการแรกว่า เหตุที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4
กับพวกกระทำการดังกล่าวเนื่องจากจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ต้องการคัดค้านการที่รัฐบาลจะดำเนินการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยให้เป็นบริษัทมหาชน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 กับพวกจึงต้องการเดินเท้าจากกรุงเทพมหานครเพื่อทูลเกล้าฯถวายฎีการ้องทุกข์ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ณ พระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน
แต่เนื่องจากเจ้าพนักงานตำรวจตรึงกำลังสกัดที่ค่ายนเรศวรมิให้จำเลยที่ 1 ที่ 2
และที่ 4 กับพวกเดินทางต่อไป จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 กับพวกจึงต้องกางเต็นท์และวางสิ่งของต่าง
ๆ บนไหล่ทางเพื่อรอเดินทางต่อไป การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 จึงไม่เป็นความผิดเพราะเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น
เห็นว่า แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2540 มาตรา 44 วรรคหนึ่ง
ซึ่งใช้บังคับขณะเกิดเหตุจะบัญญัติให้บุคคลมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธก็ตาม
แต่ก็มิได้หมายความว่าประชาชนจะสามารถใช้เสรีภาพของตนโดยปราศจากขอบเขตหรือไปละเมิดต่อสิทธิของประชาชนผู้อื่นด้วย
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ต้องไม่ใช้เสรีภาพดังกล่าวถึงขั้นเป็นการละเมิดหรือกระทำความผิดต่อกฎหมายบ้านเมือง
เพราะกฎหมายที่ตราออกมาใช้บังคับต่อประชาชนทุกคนย่อมมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อจัดระเบียบและรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและประชาชนเป็นสำคัญ
ดังนั้น การอ้างว่ามีเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ แต่มีการกระทำอันเป็นการละเมิดต่อกฎหมาย
จะถือว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบหาได้ไม่ การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4
กับพวกใช้ไหล่ทางของถนนเพชรเกษมอันเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงเป็นที่ตั้งเต็นท์รวมทั้งวางสิ่งของต่าง
ๆ จึงเป็นการกีดขวางและอาจเป็นอันตรายแก่บุคคลหรือยานพาหนะที่สัญจรไปมาในทางหลวงแล้ว
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 กับพวกจะอ้างว่าไม่มีเจตนาเนื่องจากถูกเจ้าพนักงานตำรวจขัดขวางมิให้เดินทางต่อไปหาได้ไม่เพราะจำเลยที่
1 ที่ 2 และที่ 4 ย่อมเล็งเห็นผลจากการกระทำของจำเลยว่า
การตั้งสิ่งของเหล่านั้นกีดขวางและอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลและยานพาหนะที่สัญจรไปมาบนทางหลวงได้
เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 กับพวกกระทำไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้อำนวยการทางหลวง
การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 จึงเป็นความผิดตามฟ้อง
ส่วนปัญหาที่จำเลยที่
1 ที่ 2 และที่ 4 ฎีกาว่า
ไหล่ทางของถนนเพชรเกษมเป็นเขตทางหลวงที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
จึงเป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4
มีสิทธิที่จะใช้ประโยชน์ในไหล่ทางดังกล่าวได้นั้น เห็นว่า แม้ไหล่ทางถนนเพชรเกษมจะเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ก็ตาม
แต่การใช้ประโยชน์ของประชาชนย่อมต้องกระทำไปตามปกติวิสัย เช่น
ใช้สัญจรไปมาอย่างบุคคลทั่วไปก็สามารถกระทำได้ แต่การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2
และที่ 4 กับพวกกางเต็นท์และวางสิ่งของไว้บริเวณไหล่ทางของถนนตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม
ถึงวันที่ 6 มิถุนายน 2547 เป็นเวลาเกือบสามเดือน จึงไม่ใช่เป็นการใช้ประโยชน์จากที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยชอบดังที่จำเลยที่
1 ที่ 2 และที่ 4 อ้างมา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่
2 และที่ 4 เป็นความผิดตามฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1
ที่ 2 และที่ 4 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
[Emphasis
added]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น