นางสมาพร
นิลประพันธ์[1]
ปัจจุบันยอมรับกันเป็นสากลแล้วว่าพัฒนาการทางการแพทย์ทำให้อัตราการเกิดของประชากรเกือบทุกประเทศนั้นต่ำลงอย่างมาก
ขณะเดียวกันก็ทำให้คนเรามีอายุยืนยาวขึ้น ผลที่ตามมาก็คือเกือบทุกประเทศกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุช้าบ้าง
เร็วบ้าง แตกต่างกันไป
จะว่าไป การเป็นผู้สูงอายุนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
ๆ เนื่องจากเมื่อเรามีอายุยืนยาวมากขึ้น เราก็ต้องมีเงินใช้จ่ายอย่างเพียงพอตามควรแก่อัตภาพด้วย
ที่สำคัญคือค่ากินอยู่และค่ารักษาพยาบาลนั่นแหละ เพราะผู้สูงอายุก็จะมีโรคหลากหลายมารุมเร้าราวกับหนุ่ม
ๆ รุมจีบสาวสวย
สำหรับผู้มีเงินเดือนประจำหรือแรงงานในระบบนั้นคงไม่มีปัญหาสักเท่าใดนัก
เพราะคนกลุ่มนี้จะถูกบังคับให้ออมอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินออกเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนประกันสังคม
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ฯลฯ ที่สำคัญก็คือในระบบการออมภาคบังคับนี้ รัฐหรือนายจ้าง
แล้วแต่กรณี จะช่วยออกเงินออมสมทบให้ส่วนหนึ่งด้วย นอกจากนี้ โดยที่คนกลุ่มนี้มีรายได้ประจำ
จึงสามารถแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งสำหรับออมแบบสมัครใจเพิ่มได้อีกด้วย
ไม่ว่าจะเป็นการฝากเงินกับสถาบันการเงิน การลงทุนในตลาดทุน ตราสารหนี้ ทองคำ ฯลฯ
แต่ผู้ซึ่งไม่มีเงินเดือนประจำหรือแรงงานนอกระบบนั้นไม่อยู่ภายใต้ระบบบังคับออม
การออมจึงเป็นการดำเนินการโดยใจสมัครของแต่ละคน ซึ่งแม้จะสามารถทำได้เช่นเดียวกับการออมแบบสมัครใจของผู้มีเงินเดือนประจำดังกล่าวข้างต้นก็ตาม
แต่โดยที่ผู้ซึ่งไม่มีเงินเดือนประจำซึ่งส่วนใหญ่นั้นเป็นคนหาเช้ากินค่ำและมีรายได้ไม่มากนัก
ลำพังจะฝากเงินกับสถาบันการเงินก็ยากอยู่แล้ว แถมยังได้ผลตอบแทนต่ำเสียอีก ส่วนการลงทุนในตลาดทุน
ตราสารหนี้ ทองคำ ฯลฯ นั้น ลืมไปได้เลย
ผู้เขียนเห็นว่าความแตกต่างดังกล่าวสร้างความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้ซึ่งมีกับไม่มีเงินเดือนประจำ
และช่องว่างนี้จะยิ่งกว้างมากขึ้นเมื่อทั้งสองฝ่ายล่วงเข้าสู่วัยสูงอายุ และเป็นการยากที่ผู้ซึ่งไม่มีเงินเดือนประจำจะมีรายได้เพื่อการดำรงชีวิตได้อย่างเหมาะสมในสังคมที่ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย
ๆ และยิ่งสภาพครอบครัวเปลี่ยนแปลงไปเป็นครอบครัวเดี่ยวขนาดเล็กมากขึ้น
ผู้สูงอายุที่มีพื้นฐานมาจากผู้ซึ่งไม่มีเงินเดือนประจำจึงมีความเสี่ยงที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยวมากขึ้นและยากลำบากยิ่งขึ้น
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบันตระหนักถึงความเหลื่อมล้ำนี้
จึงบัญญัติไว้ในมาตรา 84 (4) ว่ารัฐต้องจัดให้มี
“การออมเพื่อการดำรงชีพในยามชราแก่ประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างทั่วถึง”
และต่อมา รัฐสภาได้ตราพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. 2554 ขึ้นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของมาตรา 84 (4)
ของรัฐธรรมนูญ โดยกฎหมายนี้มีผลใช้บังคับมาตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม
2554 แล้ว
หลักการสำคัญของพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ
พ.ศ. 2554
นั้นเป็นการเพิ่มวิธีการออมให้แก่ผู้ซึ่งไม่มีเงินเดือนประจำและไม่อยู่ในระบบสวัสดิการใด
ๆ โดยหากผู้ซึ่งไม่มีเงินเดือนประจำและไม่อยู่ในระบบสวัสดิการใด ๆ
สมัครเป็นสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ ก็จะต้องจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนการออมซึ่งต้องไม่น้อยกว่าเดือนละห้าสิบบาทแต่ไม่เกินจำนวนที่กำหนดในกฎกระทรวง
และให้รัฐบาลจ่ายเงินสมทบตามระดับอายุของผู้เป็นสมาชิกและเป็นอัตราส่วนกับเงินสะสมที่สมาชิกจ่ายเข้ากองทุน
และเมื่อมีอายุครบหกสิบปี สมาชิกผู้นั้นจะได้รับบำนาญจากกองทุนไปจนตลอดชีวิต สำหรับการบริหารกองทุนนี้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารกองทุนที่มีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน
และการสมัครเป็นสมาชิกของกองทุนก็เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่คณะกรรมการบริหารกองทุนกำหนด
ผู้เขียนเห็นว่าหลักการสำคัญของพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ
พ.ศ. 2554 นั้นเป็นการลดความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้ซึ่งมีกับไม่มีเงินเดือนประจำ
ประกอบกับข้อมูลจากสรุปผลการสำรวจแรงงานนอกระบบ พ.ศ. 2554 อันเป็นปีที่กฎหมายใช้บังคับ
จัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ว่าในจำนวนผู้มีงานทำทั้งสิ้น 39.3 ล้านคน นั้นเป็นแรงงานนอกระบบ (หรือไม่มีเงินเดือนประจำ) ถึง 24.6 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 62.6 ของจำนวนผู้มีงานทำทั้งหมด ดังนั้น
หากการบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายกองทุนการออมแห่งชาติเป็นไปอย่างจริงจัง
ก็จะเป็นประโยชน์ต่อแรงงานนอกระบบซึ่งไม่มีเงินเดือนประจำกว่ายี่สิบล้านคนทีเดียว
อย่างไรก็ดี
นับแต่วันที่กฎหมายนี้มีผลใช้บังคับมาจนถึงขณะนี้ก็เป็นเวลากว่าสองปีแล้ว แต่ยังไม่มีการบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายเลย
โดยเท่าที่ผู้เขียนทราบแม้แต่หลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขการสมัครเป็นสมาชิกของกองทุนก็ยังไม่มีเลย แรงงานนอกระบบกว่ายี่สิบล้านคนจึงยังไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายนี้แต่ประการใดจนมีการขึ้นโรงขึ้นศาลกันแล้ว
ดังนั้น ผู้เขียนจึงขอโหนกระแสปฏิรูปประเทศไทยวิงวอนให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเร่งรีบดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายนี้โดยเร็ว
หากกฎหมายมีบทบัญญัติใดที่ไม่ชัดเจนหรือต้องปรับปรุงแก้ไขในเรื่องใดก็ต้องชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้มีส่วนได้เสียอย่างจริงจังและจริงใจ
ไม่งั้นเดี๋ยวแรงงานนอกระบบจะออกมาเรียกร้องทวงสิทธิเหมือนชาวนาที่ยังไม่ได้เงินจำนำข้าว
มันจะยุ่งไปกันใหญ่นะเออ.
[1]ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายสวัสดิการสังคม
กองกฎหมายสวัสดิการสังคม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (2557) อนึ่ง
บทความนี้เป็นความเห็นทางวิชาการของผู้เขียน
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น