ปกรณ์ นิลประพันธ์
ร่าง
บันทึกหลักการและเหตุผล
ประกอบร่างพระราชบัญญัติสภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ….
หลักการ
                   ให้มีกฎหมายว่าด้วยสภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทย
เหตุผล
                   โดยที่ผู้บริโภคได้แก่ประชาชนทุกคนของประเทศที่บริโภคสินค้าหรือบริการต่าง
ๆ ในชีวิตประจำวัน การคุ้มครองผู้บริโภคจึงเป็นภารกิจที่ครอบคลุมถึงประชาชนทุกคน
ยิ่งสินค้าและบริการมีความหลากหลายมากขึ้นเท่าใด
การคุ้มครองผู้บริโภคก็ยิ่งต้องขยายออกไปกว้างขวางมากขึ้นเท่านั้น แม้ปัจจุบันรัฐจะมีหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องนี้โดยตรงอยู่แล้ว แต่ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณและอัตรากำลัง
รวมทั้งขั้นตอนการปฏิบัติราชการทำให้การดำเนินภารกิจด้านการคุ้มครองผู้บริโภคโดยภาครัฐฝ่ายเดียวนั้นเกิดผลสัมฤทธิ์ไม่มากนัก  อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนั้นประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภคมีความตื่นตัวในการคุ้มครองสิทธิของตนเองมากขึ้น
มีการรวมกลุ่มกันจัดตั้งเป็นนิติบุคคลที่มีความเป็นอิสระในการดำเนินงานและมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม
คุ้มครอง และเผยแพร่สิทธิของผู้บริโภคโดยไม่แสวงหากำไรเพิ่มมากขึ้น  สมควรส่งเสริมให้องค์กรเหล่านี้รวมตัวกันเป็นสภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทยเพื่อสร้างเครือข่ายการคุ้มครองผู้บริโภคที่มีความเข้มแข็ง
อันเป็นการสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจด้านการคุ้มครองผู้บริโภคของรัฐในด้านต่าง ๆ ทั้งการส่งเสริม คุ้มครอง และเผยแพร่สิทธิของผู้บริโภค
การให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะแก่รัฐบาลเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค
การศึกษา วิจัย วิเคราะห์ ทดสอบ หรือทดลอง คุณภาพ ความปลอดภัย
และความคุ้มค่าของสินค้าหรือบริการต่าง ๆ
และเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวต่อสมาชิกและผู้บริโภคทั่วไปเพื่อให้ผู้บริโภคมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
และสมควรกำหนดให้สภาองค์กรดังกล่าวมีอำนาจให้บริการรับรองคุณภาพหรือความคุ้มค่าของสินค้าหรือบริการอันเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคโดยรวม  จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ 
ร่าง
พระราชบัญญัติ
สภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ….
...........................................
...........................................
............................................
                   .........................................................................................................................................
..........................................
                   โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยสภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทย
                   .........................................................................................................................................
..........................................
                   “ผู้บริโภค”
หมายความว่า ผู้บริโภคตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค
                   “สิทธิของผู้บริโภค” หมายความว่า
สิทธิของผู้บริโภคตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค
                   “สภาองค์กร”
หมายความว่า สภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทย
                   “ข้อบังคับ” หมายความว่า ข้อบังคับของสภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทย
                   “สมาชิก” หมายความว่า สมาชิกของสภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทย
                   “คณะกรรมการ” หมายความว่า
คณะกรรมการสภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทย
               “พนักงาน” หมายความว่า พนักงานและลูกจ้างของสภาสภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทย
                    “พนักงานเจ้าหน้าที่”
หมายความว่า
ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
                   “รัฐมนตรี” หมายความว่า
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
                   มาตรา ๔  ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ และกำหนดกิจการอื่นเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
การจัดตั้ง
                   มาตรา
๕  ให้จัดตั้งสภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทยขึ้น
มีอำนาจหน้าที่ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้
                   ให้สภาองค์กรเป็นนิติบุคคล
                   (๑) ส่งเสริม คุ้มครอง
และเผยแพร่สิทธิของผู้บริโภค
                   (๒)
ให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะแก่รัฐบาลเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค
                   (๓) ส่งเสริม สนับสนุน
หรือจัดให้มีการศึกษา วิจัย วิเคราะห์ ทดสอบ หรือทดลอง 
คุณภาพ ความปลอดภัย และความคุ้มค่าของสินค้าหรือบริการต่าง ๆ และเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวต่อสมาชิกและผู้บริโภคทั่วไป
คุณภาพ ความปลอดภัย และความคุ้มค่าของสินค้าหรือบริการต่าง ๆ และเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวต่อสมาชิกและผู้บริโภคทั่วไป
                   (๔)
รับรองคุณภาพหรือความคุ้มค่าของสินค้าหรือบริการ
              (๕) ร่วมมือกับหน่วยงาน
องค์กร หรือสถาบันต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค
                   (๖)
เป็นตัวแทนของสมาชิกในการประสานนโยบายและดำเนินงานระหว่างสมาชิกกับรัฐ
                   (๗)
ควบคุมดูแลให้สมาชิกปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคและกิจการที่เกี่ยวข้อง
เพื่อชื่อเสียงและเกียรติภูมิของสภาองค์กร
                   (๘) ปฏิบัติกิจการอื่น
ๆ ตามแต่จะมีกฎหมายระบุให้เป็นหน้าที่ของสภาองค์กร 
                   (๑)
ประกอบวิสาหกิจ เข้าดำเนินการในการประกอบวิสาหกิจของบุคคลใด เข้าถือหุ้น
เป็นหุ้นส่วนหรือร่วมทุนในการประกอบวิสาหกิจกับบุคคลใด 
                   (๒) ดำเนินการด้วยประการใด
ๆ อันเป็นการทำลายการแข่งขันทางการค้าอันพึงมีตามปกติวิสัยของการประกอบวิสาหกิจ 
                   (๓)
ดำเนินการด้วยประการใด ๆ อันอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ
ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือระบบเศรษฐกิจของประเทศ
                   (๔)
ให้กู้ยืมเงินหรือให้เงินแก่สมาชิกหรือบุคคลอื่นใด
เว้นแต่เป็นการให้กู้ยืมเพื่อเป็นการสงเคราะห์พนักงานหรือครอบครัวของพนักงานตามข้อบังคับ
หรือเป็นการให้เพื่อการกุศลสาธารณะ
                   (๕)
กีดกันหรือขัดขวางมิให้ผู้ใดซึ่งมีคุณสมบัติที่จะเป็นสมาชิกได้ตามพระราชบัญญัติและข้อบังคับเข้าเป็นสมาชิก
หรือให้สมาชิกออกจากสภาองค์กรโดยขัดต่อพระราชบัญญัติหรือข้อบังคับ
                   (๖)
แบ่งปันผลกำไรหรือรายได้ให้แก่สมาชิก
                   (๗)
ดำเนินการทางการเมือง
                   มาตรา
๘  ให้สภาองค์กรมีสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานคร
และมีสำนักงานสาขาในจังหวัดอื่นได้ตามความจำเป็น
                   การจัดตั้งสำนักงานสาขาตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามที่กำหนดในข้อบังคับ
                   มาตรา
๙  สภาองค์กรอาจจัดให้สมาชิกที่สถานที่ตั้งในเขตท้องที่เดียวกันหรือใกล้เคียงกันอยู่ในกลุ่มสมาชิกเดียวกัน
หรือจะจัดกลุ่มสมาชิกตามในรูปแบบอื่นก็ได้
                   การจัดกลุ่มสมาชิกตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามที่กำหนดในข้อบังคับ
                   (๑)
ค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงของสมาชิก
                   (๒)
ค่าบริการในการรับรองคุณภาพหรือความคุ้มค่าของสินค้าหรือบริการ
                   (๓)
ทรัพย์สินที่มีผู้ยกให้
                   (๔)
เงินรายได้อื่น ๆ
                   มาตรา
๑๑  ห้ามบุคคลใดนอกจากสภาองค์กรใช้ชื่อที่เป็นภาษาไทยว่า
“สภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทย” หรืออักษรต่างประเทศที่แปลหรืออ่านว่า“สภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทย”
หมวด ๒
สมาชิก
กรรมการ และพนักงาน
                   (๑) สมาชิกสามัญ
                   (๒) สมาชิกสมทบ
                   สมาชิกทั้งสองประเภทมีสิทธิและหน้าที่ตามที่กำหนดในข้อบังคับ
                   มาตรา
๑๓  สมาชิกสามัญของสภาองค์กรต้องเป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม คุ้มครอง
หรือเผยแพร่สิทธิของผู้บริโภคโดยไม่แสวงหากำไร
                   มาตรา
๑๔  สมาชิกสมทบของสภาองค์กรต้องมีคุณสมบัติ
ดังต่อไปนี้
                   (๑)
เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลซึ่งดำเนินกิจกรรมเพื่อส่งเสริม คุ้มครอง
หรือเผยแพร่สิทธิของผู้บริโภคในราชอาณาจักรตามที่กำหนดในข้อบังคับโดยไม่แสวงหากำไรไม่น้อยกว่าสามปีติดต่อกัน
                   (๒) เป็นบุคคลธรรมดาซึ่งมีผลงานทางวิชาการเกี่ยวกับการส่งเสริม
คุ้มครอง หรือเผยแพร่สิทธิของผู้บริโภคในราชอาณาจักรตามที่กำหนดในข้อบังคับ
                   มาตรา
๑๕  ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งจำนวนไม่เกินสิบห้าคนประกอบด้วยกรรมการซึ่งที่ประชุมสมาชิกสามัญเลือกตั้งจากผู้แทนสมาชิกสามัญ
                   ให้คณะกรรมการเลือกกันเองเป็นประธานสภาองค์กรคนหนึ่ง
รองประธานสภาองค์กรไม่เกินสามคน และเลขาธิการสภาองค์กรคนหนึ่ง
                   การแต่งตั้งตำแหน่งอื่นให้เป็นไปตามที่กำหนดในข้อบังคับ
                   (๑)
เป็นพนักงานของสภาองค์กร
                   (๒)
เป็นบุคคลล้มละลาย
             (๓)
เป็นข้าราชการประจำหรือข้าราชการการเมืองหรือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งใด ๆ
ในพรรคการเมือง
                   (๔)
เป็นบุคคลวิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
                   (๕) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุก
เว้นแต่ในความผิดที่กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
เว้นแต่ในความผิดที่กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
                   (๑) ตาย
                   (๒) ลาออก
                  (๓)
ที่ประชุมใหญ่สภาองค์กรมีมติให้ออกด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกสามัญที่มาประชุม
                   (๔)
มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๖
                   (๕)
รัฐมนตรีโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีสั่งให้พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๓๓
                   มาตรา
๑๙  ในกรณีที่กรรมการพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ
ให้คณะกรรมการจัดให้มีการเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างภายในภายในหกสิบวัน
เว้นแต่วาระของกรรมการผู้นั้นจะเหลือน้อยกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
                   บุคคลซึ่งเข้าเป็นกรรมการแทนตามวรรคหนึ่ง
อยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่าวาระที่ยังเหลืออยู่ของกรรมการซึ่งตนแทน
                   มาตรา
๒๐  นอกจากการพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะตามมาตรา
๓๓ ให้กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งยังคงอยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินกิจการของสภาองค์กรต่อไปเท่าที่จำเป็นจนกว่าคณะกรรมการชุดใหม่เข้ารับหน้าที่
                   กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวรรคหนึ่งต้องจัดให้มีการประชุมสมาชิกสามัญ
เพื่อให้มีคณะกรรมการชุดใหม่ตามมาตรา ๑๕ ภายในสามสิบวันนับแต่วันพ้นจากตำแหน่ง
                   ในกรณีที่ตำแหน่งกรรมการว่างลงจนเหลือจำนวนน้อยกว่าที่จะเป็นองค์ประชุมตามมาตรา
๒๒
ให้กรรมการที่เหลืออยู่กระทำการในนามของคณะกรรมการต่อไปได้แต่เฉพาะการจัดให้มีการประชุมเพื่อเลือกตั้งหรือแต่งตั้งผู้แทนสมาชิกสามัญเป็นกรรมการแทนตามมาตรา
๑๙ และการจัดให้มีการประชุมใหญ่สภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภค
                   มาตรา
๒๑  คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและดำเนินงานของสภาองค์กร
ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของสภาองค์กร และให้มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ด้วย
ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของสภาองค์กร และให้มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ด้วย
                   (๑)
ออกข้อบังคับเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ของสมาชิก การรับสมัคร คุณสมบัติ วินัย การลงโทษสมาชิกและการพ้นจากสมาชิกภาพ รวมทั้งการอุทธรณ์
                   (๒)
ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการเลือกตั้งคณะกรรมการ
                   (๓)
ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการประชุมและดำเนินกิจการของคณะกรรมการและการประชุมใหญ่สภาองค์กร
                   (๔)
ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการจัดตั้งและการดำเนินกิจการของสำนักงานสาขาสภาองค์กรตามมาตรา
๘
                   (๕)
ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการจำแนกกลุ่มสมาชิกตามมาตรา ๙ ตลอดจนกิจการอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้อง
                   (๖)
ออกข้อบังคับกำหนดค่าลงทะเบียน ค่าบำรุง
และค่าบริการที่จะพึงเรียกเก็บจากสมาชิกหรือบุคคลภายนอก
                   (๗)
ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการบัญชีและการเงินของสภาองค์กร
                   (๘)
ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการบรรจุ การแต่งตั้ง การถอดถอน การกำหนดตำแหน่ง
อัตราเงินเดือน ค่าจ้าง และเงินบำเหน็จ รางวัลพนักงาน รวมทั้งระเบียบ วินัย
การลงโทษและการร้องทุกข์ของพนักงาน
                   (๙)
ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการสงเคราะห์พนักงาน ตลอดจนครอบครัวของบุคคลดังกล่าว
หรือผู้ซึ่งพ้นจากการเป็นพนักงาน
                   (๑๐)
ออกระเบียบหรือข้อบังคับในเรื่องอื่นใดที่จำเป็นต่อการดำเนินงานภายในเกี่ยวกับกิจการของสภาองค์กร
                   (๑๑)
ให้คำปรึกษา แนะนำ ชี้แจง และอำนวยความสะดวกแก่สมาชิกในการส่งเสริม คุ้มครอง
และเผยแพร่สิทธิของผู้บริโภค
                   (๑๒)
เสนอแนะให้ความเห็นและให้คำปรึกษาแก่รัฐมนตรีในเรื่องที่เกี่ยวกับการส่งเสริม
คุ้มครอง และเผยแพร่สิทธิของผู้บริโภค
                   การกำหนดหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับตามวรรคหนึ่ง
ต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่สภาองค์กร
                   มาตรา
๒๒  การประชุมของคณะกรรมการ
ต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดตามมาตรา ๑๕
จึงจะเป็นองค์ประชุม
                   ให้ประธานสภาองค์กรเป็นประธานในที่ประชุม
ถ้าประธานสภาองค์กรไม่อยู่ในที่ประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ให้รองประธานสภาองค์กรเป็นประธานในที่ประชุมตามลำดับ
                   ถ้าประธานและรองประธานสภาองค์กรไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้
ให้คณะกรรมการเลือกกรรมการซึ่งเป็นสมาชิกสามัญคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม
                   การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือตามเสียงข้างมาก
                   กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน
ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน
ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาด
                   ในการประชุมคณะกรรมการ
ถ้ามีการพิจารณาเรื่องใดที่เกี่ยวกับตัวกรรมการผู้ใด
กรรมการผู้นั้นมีสิทธิชี้แจงในเรื่องนั้น แต่ไม่มีสิทธิออกเสียง
                   มาตรา
๒๓  ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก
ให้ประธานสภาองค์กรเป็นผู้แทนของสภาองค์กร
                   การดำเนินกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอกให้เป็นไปตามที่กำหนดในข้อบังคับ
การดำเนินกิจการ
                   มาตรา
๒๔  ให้คณะกรรมการจัดให้มีการประชุมใหญ่สภาองค์กรปีละหนึ่งครั้ง
การประชุมใหญ่เช่นนี้เรียกว่าประชุมสามัญ
                   การประชุมใหญ่คราวอื่นนอกจากการประชุมตามวรรคหนึ่ง
เรียกว่าการประชุมวิสามัญ
                   มาตรา
๒๕  เมื่อมีเหตุจำเป็น
คณะกรรมการจะเรียกประชุมวิสามัญเมื่อใดก็ได้
                   สมาชิกสามัญจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกสามัญจะทำหนังสือร้องขอต่อคณะกรรมการให้เรียกประชุมวิสามัญก็ได้
ในหนังสือร้องขอนั้นต้องระบุว่าประสงค์ให้เรียกประชุมเพื่อการใด
                   ในกรณีที่สมาชิกสามัญเป็นผู้ร้องขอให้เรียกประชุมวิสามัญตามวรรคสอง
ให้คณะกรรมการเรียกประชุมวิสามัญภายในสามสิบวันนับแต่วันที่รับหนังสือร้องขอ
                   มาตรา
๒๖  ในการประชุมใหญ่สภาองค์กร
ต้องมีสมาชิกสามัญมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสามัญจึงจะเป็นองค์ประชุม
                   การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือตามเสียงข้างมากของสมาชิกสามัญซึ่งมาประชุม
                   มาตรา
๒๗  ในการประชุมใหญ่สภาองค์กร
ถ้าสมาชิกสามัญมาประชุมไม่ครบองค์ประชุม ให้เลื่อนการประชุมนั้นออกไปอีกครั้งหนึ่ง
โดยให้ประธานสภาองค์กรแจ้งวันประชุมครั้งใหม่ให้สมาชิกสามัญทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน
การประชุมใหญ่ครั้งใหม่นี้ถ้าเป็นการประชุมที่คณะกรรมการเรียกไม่ว่าจะมีสมาชิกสามัญมาประชุมจำนวนเท่าใดให้ถือเป็นองค์ประชุมได้
แต่การประชุมในครั้งนี้ให้ดำเนินการได้เฉพาะมาตรา ๒๘ และมาตรา ๒๙ เท่านั้น
                   มาตรา
๒๘  ให้คณะกรรมการจัดทำรายงานประจำปีแสดงผลงานของคณะกรรมการในปีที่ล่วงมา
และคำชี้แจงเกี่ยวกับนโยบายเสนอต่อที่ประชุมสามัญพร้อมด้วยงบดุลและบัญชีรายได้และรายจ่ายประจำปี
ซึ่งมีผู้สอบบัญชีรับรองภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีปฏิทิน
และให้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวไปยังรัฐมนตรีภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ที่ประชุมสามัญรับรองแล้ว
                   มาตรา
๒๙  ผู้สอบบัญชีตามมาตรา
๒๘ นั้น ให้ที่ประชุมใหญ่สภาองค์กรแต่งตั้งจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยผู้สอบบัญชี
และต้องไม่เป็นกรรมการหรือพนักงาน
                   ให้ผู้สอบบัญชีได้รับประโยชน์ตอบแทนตามที่ที่ประชุมใหญ่สภาองค์กรกำหนด
หมวด ๔
การกำกับโดยรัฐ
                   (๑) กำกับดูแลให้คณะกรรมการดำเนินการตามมาตรา
๒๘
                   (๒)
สั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่สอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินงานของสภาองค์กร
                   (๓)
สั่งเป็นหนังสือให้กรรมการชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกิจการของสภาองค์กร
และจะให้ส่งเอกสารเกี่ยวกับการดำเนินงานหรือรายงานการประชุมของคณะกรรมการด้วยก็ได้
                   (๔)
สั่งเป็นหนังสือให้สภาองค์กรหรือกรรมการระงับหรือแก้ไขการกระทำใด ๆ
ที่ปรากฏว่าขัดต่อกฎหมายหรือข้อบังคับ
                   เมื่อได้สั่งการตามวรรคหนึ่งแล้ว
ให้รัฐมนตรีแจ้งคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบพร้อมด้วยเหตุผลในการดำเนินการดังกล่าวภายในสามสิบวัน
                   มาตรา
๓๑  ในการปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐมนตรีตามมาตรา
๓๐ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบเอกสารหรือหลักฐานในสำนักงานของสภาองค์กรได้ในระหว่างเวลาทำการ
หรือให้บุคคลซึ่งเกี่ยวข้องชี้แจงแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่ร้องขอ
                   ในการปฏิบัติการของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง
ให้บุคคลซึ่งเกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกตามสมควร
                   บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีกำหนด
                   มาตรา
๓๓  เมื่อปรากฏว่าสภาองค์กรไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐมนตรีตามมาตรา
๓๐ หรือกระทำการใด ๆ อันเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของสภาองค์กร หรือกระทำการใด ๆ
อันอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
หรือระบบเศรษฐกิจของประเทศ
ให้รัฐมนตรีโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งให้กรรมการคนใดคนหนึ่งหรือทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง
ในกรณีเช่นนี้ กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งไม่มีสิทธิเป็นกรรมการอีก 
                   มาตรา
๓๔  ในกรณีที่รัฐมนตรีมีคำสั่งให้กรรมการทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา
๓๓ ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งบุคคลจากสมาชิกสามัญของสภาองค์กรจำนวนไม่น้อยกว่าสิบคน
แต่ไม่เกินสิบห้าคน
เป็นคณะกรรมการชั่วคราวในวันเดียวกันกับวันที่รัฐมนตรีมีคำสั่งให้กรรมการทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง
และให้นำความในมาตรา ๑๕ วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม
                   ให้คณะกรรมการชั่วคราวตามวรรคหนึ่ง
มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการเพียงเท่าที่จำเป็น
และดำเนินการเรียกประชุมสมาชิกสามัญภายในหกสิบวันนับแต่วันที่รัฐมนตรีมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการชั่วคราว
เพื่อให้มีการเลือกตั้งและแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ตามมาตรา ๑๕
                   เมื่อคณะกรรมการชุดใหม่เข้ารับหน้าที่แล้ว
ให้คณะกรรมการชั่วคราวซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง
บทกำหนดโทษ
                   มาตรา
๓๖  กรรมการผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา
๗ หรือกระทำการอันเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของสภาองค์กร
และการกระทำนั้นเป็นภัยต่อเศรษฐกิจ ความมั่นคงของประเทศ
หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
                   มาตรา
๓๗  ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๑
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกวันละห้าพันบาทจนกว่าจะเลิกใช้
                   มาตรา
๓๘  ผู้ใดขัดขวางหรือไม่ชี้แจงหรือไม่อำนวยความสะดวกให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติการตามมาตรา
๓๑ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาท
บทเฉพาะกาล
                   มาตรา ๓๙  ในวาระเริ่มแรก
ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคจัดให้องค์กรซึ่งมีคุณสมบัติตามมาตรา ๑๓
สมัครเป็นสมาชิกสามัญของสภาองค์กรภายในหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
                   ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคจัดให้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการสภาองค์กรชุดที่หนึ่งภายในสามสิบวันนับแต่พ้นกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง ในการนี้ ให้สมาชิกสามัญแต่ละรายเสนอชื่อผู้แทนได้ไม่เกินรายละสามคน
                   การเลือกตั้งตามวรรคสอง
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
………………………………………….
       นายกรัฐมนตรี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น