เมื่อหลายวันก่อนมีการประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ
พ.ศ. .... ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ บังเอิญร่างมาตรา 8 เขียนว่า
“มาตรา
8
การชุมนุมสาธารณะต้องไม่กีดขวางทางเข้าออก หรือรบกวนการปฏิบัติงาน หรือการใช้บริการสถานที่
ดังต่อไปนี้
(1)
สถานที่ทำการหน่วยงานของรัฐ
(2)
ท่าอากาศยาน ท่าเรือ สถานีรถไฟ หรือสถานีขนส่งสาธารณะ
(3)
โรงพยาบาล สถานศึกษา และศาสนสถาน
(4)
สถานทูตหรือสถานกงสุลของรัฐต่างประเทศ หรือสถานที่ทำการองค์การระหว่างประเทศ
(5)
สถานที่อื่นตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด”
เมื่อ (5)
เขียนเช่นนี้
องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนแห่งหนึ่งจึงยกขึ้นให้ความเห็นประกอบการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติอย่างดุเดือดว่า
ร่างพระราชบัญญัตินี้ให้อำนาจรัฐมนตรีที่จะประกาศสถานที่ใด ๆ เพิ่มเติมก็ได้ อันเป็นการให้อำนาจรัฐมนตรีลิดรอนสิทธิในการชุมนุมสาธารณะของประชาชนอย่างกว้างขวาง
ช่างเผด็จการนัก!!!
ว่าเข้าไปนั่น!!
เมื่อเห็นว่ากรรมาธิการหลายท่านดูเหมือนจะเคลิ้มไปกับความเห็นขององค์กรนี้
ท่านประธานจึงหันมาถามผู้เขียนว่าเป็นอย่างที่เขาว่าจริงหรือไม่
เพราะท่านเคยได้ยินคำถามเช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว
แต่เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องก็จะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่ามันเป็น “แบบ”
“แบบ” มาอีกแล้ว!!!!
ขอเรียนนะครับว่านี่
“ไม่ใช่แบบ” (Form) แต่เป็นวิธีการเขียนที่นักร่างกฎหมายทั่วโลกเขาเรียกว่า
“Positive List” โดย Positive List จะมีสองส่วน กล่าวคือ ส่วนที่กำหนดชัดเจนว่ามีเรื่องใดบ้างที่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายในลักษณะของ
“อนุมาตราย่อย” ต้น ๆ (หรือที่เดี๋ยวนี้นักร่างกฎหมายยุคใหม่เขาอ่านว่า “วงเล็บ”
แรก ๆ) กับส่วนที่ให้อำนาจแก่ผู้มีอำนาจหน้าที่รักษาการตามกฎหมายหรือปฏิบัติตามกฎหมายไปกำหนดเพิ่มเติมว่าเรื่องใดบ้างที่สมควรอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายนี้ด้วย
ซึ่งจะปรากฏในอนุมาตราสุดท้ายหรือวงเล็บสุดท้ายว่า “(..) การอื่นที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด”
หรือ “(..) การอื่นที่กำหนดในกฎกระทรวง” เป็นต้น
สำหรับสาเหตุที่ต้องใช้วิธีการเขียนแบบ
Positive List นี้ก็เพื่อความยืดหยุ่นในการบังคับใช้กฎหมาย
เพราะในชั้นที่ตรากฎหมายขึ้นใช้บังคับนั้นเห็นว่ามีกรณีที่ต้องอยู่ภายใต้บังคับนั้นแน่
ๆ สี่ซ้าห้าหกกรณีดังที่กำหนดในอนุมาตราย่อยต้น ๆ แต่โดยที่เล็งเห็นได้ว่าในอนาคตก็อาจมีกรณีอื่น
“ในทำนองเดียวกัน” ที่ควรจะต้องกำหนดให้อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายด้วย
จึงมีการเขียนอนุมาตราสุดท้ายหรือวงเล็บสุดท้ายไว้ด้วยว่า “(..)
การอื่นที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด” หรือ “(..) การอื่นที่กำหนดในกฎกระทรวง” เป็นต้น ทั้งนี้
เพื่อให้กฎหมายสามารถพัฒนาไปได้โดยสอดคล้องกับสถานการณ์ในอนาคต เพราะถ้าไม่เขียนไว้เช่นนี้
หากต่อไปจะต้องกำหนดให้เรื่องใดอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายนั้นอีก ซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้เวลาดำเนินการนาน
กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้เสียแล้ว
ทีนี้เมื่อเขียนกฎหมายอย่าง
Positive List แล้ว ถามว่าจะตีความกันอย่างไร? รัฐมนตรีจะประกาศกำหนดอย่างไรก็ได้กระนั้นหรือ?
กฎกระทรวงจะกำหนดอะไรก็ได้กระนั้นหรือ?
ดังที่ผู้เขียนได้กล่าวถึงเหตุผลในการใช้วิธีการเขียนแบบ
Positive List นี้ก็เพื่อความยืดหยุ่นในการบังคับใช้กฎหมาย
เพราะในชั้นที่ตรากฎหมายขึ้นใช้บังคับนั้นเห็นว่ามีกรณีที่ต้องอยู่ภายใต้บังคับนั้นแน่
ๆ สักห้าหกเรื่องที่กำหนดในอนุมาตราย่อยต้น ๆ แต่ก็เล็งเห็นได้ว่าในอนาคตก็อาจมีกรณีอื่น
“ในทำนองเดียวกัน” ที่จะต้องกำหนดให้อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายด้วย
ดังนั้น การออกประกาศหรือกฎกระทรวงตามอนุมาตราสุดท้ายของ
Positive List จึงต้องอยู่ภายใต้ “บริบท” (Context) ของอนุมาตราที่กำหนดชัดเจนไว้แล้วข้างต้น
ไม่ใช่จะออกประกาศหรือกฎกระทรวงอย่างไรก็ได้ตามอำเภอใจ
การตีความอนุมาตราสุดท้ายของ
Positive List ก็เป็นเช่นเดียวกัน
ไม่ใช่จะตีความอย่างไรก็ได้ หากแต่ต้องตีความให้สอดคล้องกับอนุมาตราต้น ๆ
ที่บัญญัติไว้ชัดเจนแล้วเท่านั้น จะตีความอนุมาตราโดยขยายความไม่ได้
เพราะการตีความโดยขยายความจะทำให้เกิด “ผลที่แปลกประหลาด”
โดยจะมีคำถามย้อนกลับมาทันทีว่า แล้วกฎหมายอุตส่าห์จาระไนอนุมาตราก่อน ๆ
นี้ไว้เพื่ออะไร หากอนุมาตราสุดท้ายมีความหมายกว้างราวกับมหาสมุทรแปซิกฟิกเช่นนี้
หลักการตีความดังกล่าวข้างต้น
เป็นหลักพื้นฐานในการตีความกฎหมายอันเป็นสากลและรู้จักทั่วไปว่า “ejusdem
generis” สรุปง่าย ๆ
ก็คือหากบทบัญญัติของกฎหมายมีถ้อยคำต่อเนื่องกันหรือเรียงลำดับกัน และคำสุดท้ายหรือลำดับสุดท้ายมีความหมายทั่วไป
กรณีต้องตีความคำสุดท้ายหรือลำดับสุดท้ายให้มีความหมายในทำนองเดียวกับคำหรือลำดับที่มีมาก่อนเพราะเป็นความเดียวกันหรือต่อเนื่องกัน
ดังนี้
จะเห็นได้ว่าการร่างกฎหมายและการตีความกฎหมายนั้นเป็นศาสตร์ ไม่ใช่ศิลป์
เพราะต้องดำเนินการตาม “นิติวิธี” (Juristic method)
ที่เป็นสากลบนพื้นฐานของเหตุและผล
มิใช่เพียงแค่การใช้ถ้อยคำสำนวนหรือเล่นสำบัดสำนวนโดยไม่มีเหตุผลทางกฎหมาย (Legal
reasoning) รองรับ
เมื่อเป็นเช่นนี้
ในกรณีตามร่างมาตรา 8 (5) ร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. ....
ข้างต้นจึงมิใช่สถานที่ใด ๆ ก็ได้ หากแต่จำกัดเฉพาะสถานที่ 3 ประเภท คือ
สถานที่ให้บริการสาธารณะแก่ประชาชน ศาสนสถาน
หรือสถานที่ปฏิบัติงานของรัฐต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น
ท้ายที่สุดผู้เขียนเห็นว่าการให้ความเห็นหรือวิจารณ์ร่างกฎหมายหรือเรื่องต่าง
ๆ ของใครต่อใครต่อสาธารณะนั้น ต้องวางอยู่บนพื้นฐานของ “เหตุผลทางวิชาการ”
มากกว่าความเชื่อหรือการใช้ถ้อยคำสำนวนเพื่อชวนให้หลงเชื่อ เพราะมิฉะนั้นแล้วการแสดงความคิดความเห็นของท่านจะทำให้สังคมเกิดความสับสน
ทำให้สังคมสับสนน่ะไม่เท่าไรหรอก
แต่ท่านจะแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำของท่านอย่างไร??
ขณะเดียวกัน ผู้เขียนก็เห็นว่านักร่างกฎหมายทุกท่านก็ควรต้องอธิบายเหตุผลเหล่านี้ให้เป็นที่เข้าใจต่อสาธารณะด้วย
เขาจะได้เข้าใจ
ไม่ใช่เอะอะก็แบบ!!!
ข้อมูลอ้างอิง
เรื่องเสร็จที่
163/2519
เรื่องเสร็จที่
174/2520
เรื่องเสร็จที่
393/2524
[1]กรรมการร่างกฎหมายประจำ
(นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (2558) อนึ่ง บทความนี้เป็นความเห็นทางวิชาการของผู้เขียน
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น