“ประเทศไทย
4.0” เป็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม
หรือ “Value–Based Economy” โดยมีดิจิทัลเป็นโครงสร้างพื้นฐาน
เป็นระบบเศรษฐกิจที่มีพลวัตสูงมากหรือเปลี่ยนแปลงเร็วมาก คุณลักษณะของทรัพยากรมนุษย์ในระบบเศรษฐกิจ
“ประเทศไทย 4.0” จึงมิได้ขึ้นอยู่กับปริมาณ หากแต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการสื่อสาร
(communication) ความคิดสร้างสรรค์ (creativity) และความสามารถในการปรับตัว (collaboration) อันเป็น
“Soft Skill” พื้นฐานของยุคดิจิทัลอันเป็นโลกที่ไร้พรมแดน[1]
หาใช่ความฉลาด (talent) หรือความสามารถในการทำงานตามคำสั่งแต่เพียงอย่างเดียวเหมือนในอดีตไม่[2]
โดยความคิดสร้างสรรค์จะนำมาซึ่งการพัฒนานวัตกรรม (Innovation)
ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงมากกว่าการผลิตพื้นฐาน หรือการเป็นโรงงานรับจ้างประกอบ
ที่เห็นได้ชัดเจนคืออุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ และ Digital Contents ทั้งหลาย ส่วนความสามารถในการสื่อสารและการปรับตัวจะทำให้
“ทรัพยากรมนุษย์ยุคใหม่” ของประเทศสามารถอยู่และทำงานร่วมกับผู้อื่นซึ่งมีความแตกต่างหลากหลายได้ไม่ว่าจะเป็นสัญชาติ
ชาติพันธุ์ ศาสนา วัฒนธรรม ความเชื่อ ฯลฯ อันจะทำให้การทำงาน การค้า
และการบริการเป็นไปอย่างลื่นไหล ทรัพยากรมนุษย์ในยุค
“ประเทศไทย 4.0” นั้นนอกจากต้องมีความรู้พื้นฐานแล้ว ยังต้องมีความรับผิดชอบ มีความฉลาดทางอารมณ์สูง
เข้ากับผู้อื่นได้ดี มีอัตตาต่ำ ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง มีความคิดสร้างสรรค์
และใฝ่ที่จะเรียนรู้ตลอดชีวิต
ดังนั้น การปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจเป็น
“ประเทศไทย 4.0” หรือประเทศไทยในยุคดิจิทัลจึงต้องดำเนินการไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้สอดคล้องกันด้วย
แต่เนื่องจากการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ต้องใช้เวลา ไม่มีทางลัด การวางแผนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างเป็นระบบและการดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมจึงเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญที่สุดต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวของการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจของทุกประเทศ[3]
นอกจากนี้
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์รองรับยุคดิจิทัลนั้น ต้องไม่คำนึงถึงเฉพาะเด็กหรือประชากรในวัยทำงานเท่านั้น หากต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพของคน "ทุกช่วงวัย" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ผู้สูงอายุ” ซึ่ง Nobuaki Koga ประธานสภาหอการค้าญี่ปุ่น (RENGO)
ชี้ให้เห็นว่ายุคดิจิทัลกับยุคสังคมผู้สูงอายุนั้นเกือบจะทับซ้อนกันพอดี[4] เนื่องจากทุกประเทศมีอัตราการเกิดของประชากรอยู่ในระดับต่ำมาก
Koga จึงเสนอว่าการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในยุคดิจิทัลต้องพัฒนาการศึกษา
ครอบครัวที่อบอุ่น การสร้างความสามารถหรือทักษะในการทำงาน และความสามารถในการทำงานภายหลังการเกษียณอายุจากงานประจำไปพร้อม ๆ กัน[5]
สำหรับการศึกษานั้น
ระบบการศึกษาต้องคำนึงบุคลิกลักษณะและความสามารถ (personality) อันแตกต่างของผู้เรียนเป็นสำคัญ เพราะแต่ละคนมีความถนัดแตกต่างกัน
แต่ละคนจึงควรได้รับการพัฒนาตามศักยภาพของตน
ซึ่งหลักการดังกล่าวสอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม[6] และจากผลการศึกษาวิจัยของมูลนิธิ
LEGO ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก LEGO บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการผลิตสินค้าเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กที่ศึกษาต่อเนื่องเป็นเวลา
20 ปีติดต่อกัน พบว่ามนุษย์แห่งอนาคตต้องได้รับการพัฒนา “Soft Skill”[7] ตั้งแต่ในช่วงเด็กเล็ก
(0-2 ขวบ) เพราะเป็นช่วงเวลาสำคัญในการปลูกฝังให้เด็กมีความสนใจหรือกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ตลอดชีวิต[8] ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาการสื่อสาร
การอยู่ร่วมกับผู้อื่น และความคิดสร้างสรรค์ต่อไป เพราะหากปลูกฝังให้เด็กสนใจหรือกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ในสิ่งใหม่
ๆ ลักษณะที่พึงประสงค์นี้จะติดตัวเขาไปจนตลอดชีวิต และจะกลายเป็นคนที่ขวนขวายพัฒนาทักษะต่าง
ๆ เพิ่มอยู่ตลอดเวลา การเรียนรู้ตลอดชีวิตจึงเป็นการปลูกฝังความฝักใฝ่ที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่
ๆ มิได้จำกัดเฉพาะการจัดหลักสูตรให้เรียนหรือศึกษาอบรมในทุกช่วงวัยเท่านั้น
มูลนิธิ LEGO จึงเสนอว่าในช่วงเด็กเล็ก (0-2 ขวบ) ต้องไม่เน้นการเรียนด้านวิชาการ แต่ต้องเน้นการสร้างความมั่นใจ
การอยู่ร่วมกับผู้อื่น (ซึ่งรวมถึงการปลูกฝังความรับผิดชอบในทุกมิติ) และความคิดสร้างสรรค์
สิงคโปร์
ประเทศที่ได้รับการยอมรับว่าให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มากในลำดับต้น ๆ
ของโลกได้กำหนดให้มีการพัฒนา Core Values ของ “เด็กเล็ก” เป็นลำดับแรก
โดย Core Values นี้เน้นการปลูกฝังให้เด็กรู้จักตนเอง (Self-awareness) รู้จักจัดการกิจวัตรของตน (Self-Management)
รู้จักว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของสังคม (Social Awareness)
รู้จักตัดสินใจอย่างมีความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและสังคม (Responsible
Decision Making) และรู้จักการอยู่ร่วมกับผู้อื่นที่แตกต่าง (Relationship
Management)
หลังจากนั้นจะเริ่มพัฒนาทักษะทางสังคมและอารมณ์เพื่อให้เด็กตระหนักและรู้จักการบริหารจัดการอารมณ์
รู้จักการเอาใจเขามาใส่ใจเรา และรู้จักการบริหารการเปลี่ยนแปลง โดยเป้าหมายคือเด็กในศตวรรษที่
21 ต้องเป็นคนที่มีความมั่นใจ เรียนรู้ตลอดเวลา ตอบแทนกับสังคม
และมีความรับผิดชอบต่อสังคม มีคุณลักษณะดังนี้
· Civic Literacy,
Global Awareness and Cross-Cultural Skills
· Critical and
Inventive Thinking
· Communication,
Collaboration and Information Skills[9]
สำหรับประเทศไทย
นับแต่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจตามแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่หนึ่งเป็นต้นมา
ไม่มีการกำหนดทิศทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในระยะยาว แม้จะมีการจัดทำแผนการพัฒนาการศึกษาแห่งชาติขึ้นใช้บังคับ
แต่แผนดังกล่าวถูกกำหนดขึ้นเพื่อผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจตามแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติซึ่งมีระยะเวลาเพียง
5 ปีให้ประสบความสำเร็จ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จึงเน้นหนักไปในทางจัดการศึกษาให้ “ทั่วถึงทุกพื้นที่” และ “เน้นการสร้างกำลังแรงงานในสายอาชีพ” เพื่อรองรับการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปในทางอุตสาหกรรม
ซึ่งแม้การจัดการศึกษาให้ทั่วถึงทุกพื้นที่นี้เป็นเรื่องจำเป็นตามหลักความเสมอภาค
แต่ก็ทำให้โครงสร้างของหน่วยงานด้านการศึกษาของไทยใหญ่โต มีสายการบังคับบัญชาที่ซับซ้อน
ต้องใช้งบประมาณจำนวนมากไปกับงบรายจ่ายประจำมากกว่างบประมาณเพื่อการพัฒนาคุณภาพและศักยภาพของผู้เรียนอันเป็นแก่นของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ กรณีจึงกล่าวได้ว่าในช่วงเกือบหกทศวรรษที่ผ่านมานั้นระบบการศึกษาของไทยให้ความสำคัญกับปริมาณ
(output) ของผู้ซึ่งผ่านเข้าไปในระบบการศึกษา
มากกว่าคุณภาพ (outcome) ของผู้จบการศึกษา
นอกจากนี้ จากการศึกษาแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ
พบว่าได้มีการขยายเวลาการศึกษาภาคบังคับ (ซึ่งเริ่มตั้งแต่อายุ 7 ปี) จาก 4 ปี (ป.
4) เป็น 7 ปี (ป. 7) ในปี 2506 หลังจากนั้น มีการขยายเวลาการศึกษาภาคบังคับเป็น 9 ปี (ม. 3) และต่อมา
รัฐบาลได้ขยายเวลาการจัดการศึกษาโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายเป็น 15 ปี (อนุบาล - ม. 6
หรือ ปวช.) แต่หลักสูตรและวิธีการจัดการเรียนการสอนมิได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก
การปรับปรุงหลักสูตรและวิธีการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาบุคลิกลักษณะและความสามารถ
(personality) ของผู้เรียนแต่ละคนที่แตกต่างกันไม่ปรากฏให้เป็นอย่างชัดแจ้งและเป็นรูปธรรม
แต่เป็นการสร้างคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปในทางอุตสาหกรรมเป็นหลัก
การกำหนดให้หลักสูตรการศึกษาและวิธีการจัดการเรียนการสอนเป็นแบบเดียวกันทั้งประเทศเพื่อความสะดวกในการบริหารจัดการและการประเมินผล
ส่งผลให้ระบบการศึกษาไทยไม่ส่งเสริมให้มนุษย์ได้รับการพัฒนาตามบุคลิกลักษณะและความสามารถ
(personality)
อันแตกต่างของผู้เรียนเป็นสำคัญ
ระบบการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ดังกล่าวจึงทำให้ผลผลิตส่วนใหญ่ของระบบการศึกษาเป็น
“พิมพ์นิยม” คือ มีความสามารถเพียงพอที่จะเป็นลูกจ้างทั่ว ๆ ไป (general
employee) แต่ขาดทักษะที่จะผลักดันตนเองให้เป็นลูกจ้างซึ่งมีทักษะเฉพาะด้านสูง
(smart employee) หรือออกไปเป็นผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ
(smart entrepreneur) อันเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการสร้างสังคมผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง
(Small and medium entrepreneurs) เพื่อทำให้โครงสร้างของระบบเศรษฐกิจมีความเข้มแข็งจากภายใน
ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นหลักซึ่งอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจโลก แม้ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาจะมีนโยบายที่จะส่งเสริมให้ประชาชนเปลี่ยนไปเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง แต่ก็ยากที่จะผลักดันให้เกิดความสำเร็จได้เพราะระบบการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาไม่รองรับกัน การกระตุ้นให้เกิดผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางโดยมุ่งให้ความสนับสนุนทางการเงินเป็นสำคัญจึงเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุและมีความเสี่ยงที่จะทำให้ได้ผลตอบแทนคืนกลับไม่คุ้มค่าเนื่องจากผู้ประกอบการซึ่งมีความรู้ มีศักยภาพ และมีความพร้อมนั้นมีจำนวนน้อย การให้ความช่วยเหลือทางการเงินจึงอาจทำให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางที่ไม่มีศักยภาพและความพร้อมซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากสร้างหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-performing loans) เป็นจำนวนมากขึ้นในระบบการเงินของประเทศ อันเป็นผลที่ไม่พึงประสงค์ ดังนั้น แนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์แบบดั้งเดิมนี้จึงไม่สอดคล้องกับเป้าหมายในการพัฒนาประเทศไทยไปสู่ยุค
“ประเทศไทย 4.0” ดังที่กล่าวข้างต้น
เรื่องสำคัญที่ถูกละเลยมานาน
ได้แก่ การที่ระบบการศึกษาไทยไม่ให้ความสำคัญแก่ “การพัฒนาเด็กเล็ก” ในช่วง 0-2
ขวบ ซึ่งเป็นช่วงวัยที่สำคัญที่สุดของชีวิตมนุษย์[10]
สาเหตุแห่งการละเลยปัญหานี้อาจสืบเนื่องมาจากการไม่ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของ “สถาบันครอบครัว”
อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจซึ่งเปลี่ยนรูปแบบครอบครัวขยายของสังคมเกษตรแบบดั้งเดิม
เป็นครอบครัวเดี่ยวในเวลาอันรวดเร็ว
ข้อดีของครอบครัวขยายคือการมีปู่ย่าตายายลุงป้าน้าอาเป็นผู้ดูแลและอบรมสั่งสอนหลานในระหว่างที่พ่อแม่ของเด็กออกไปทำงาน
โครงสร้างดังกล่าวทำให้เด็กเล็กได้รับการดูแลอย่างอบอุ่นและใกล้ชิด มีการปลูกฝังความเป็นระเบียบวินัย
ความสามารถในการดูแลตนเอง ความสามารถในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น และทักษะพื้นฐานในการดำรงชีวิตให้แก่เด็กเล็กอย่างใกล้ชิด
เมื่อพ่อแม่กลับมาจากทำงานก็มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกัน ครอบครัวมีความอบอุ่น แต่พัฒนาการทางเศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ทำให้โครงสร้างครอบครัวเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จากครอบครัวขยายเป็นครอบครัวเดี่ยว
เมื่อเป็นครอบครัวเดี่ยว เด็กเล็กส่วนใหญ่จะถูกนำไปฝากเลี้ยงในสถานรับเลี้ยงเด็กที่เน้นการดูแลทางกายภาพและสุขภาพของเด็กเล็ก
มากกว่าการปลูกฝังความเป็นระเบียบวินัย ความสามารถในการดูแลตนเอง
ความสามารถในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น รวมทั้งทักษะพื้นฐานในการดำรงชีวิต ดังนั้น
เด็กในยุคครอบครัวเดี่ยวส่วนใหญ่จึงขาดระเบียบวินัย ขาดความสามารถในการดูแลตนเอง
และขาดความสามารถในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น และก่อให้เกิดปัญหาสังคมอย่างอื่นตามมา โดยเฉพาะการกระทำความผิดที่มีโทษอาญา และการใช้ความรุนแรงในสังคม
[1]Sang Woo Kim, Samsung: Smarts skills, smart future - Business Brief, OECD Yearbook 2014 (electronic version
http://www.oecd.org/forum/oecdyearbook/samsung-smart-skills-smart-future.htm)
[2]Randa Grob-Zakhary et al, Playing your
way to work, OECD Yearbook 2014 (electronic version
http://www.oecd.org/forum/oecdyearbook/playing-your-way-to-work.htm)
[3]Andreas Schleicher, A plan for
education, OECD Yearbook 2014 (electronic version http://www.oecd.org/forum/oecdyearbook/a-plan-for-education.htm)
[4]หมายถึงนโยบายประเทศไทย
4.0 ด้วย
[5]Nobuaki Koga, Towards a “secured
society based on work”, OECD Yearbook 2014
(electronic version
http://www.oecd.org/forum/oecdyearbook/secure-society-based-on-work.htm)
[6]International
Covenant on Economic, Social and Cultural Rights
Article
13
1. The States Parties to
the present Covenant recognize the right of everyone to education. They agree
that education shall
be directed to the full development of the human personality
and the sense of its dignity, and shall strengthen the respect for human rights
and fundamental freedoms. They further agree that education shall enable all
persons to participate effectively in a free society, promote understanding,
tolerance and friendship among all nations and all racial, ethnic or religious
groups, and further the activities of the United Nations for the maintenance of
peace. [Emphasis added]
2. The States Parties to
the present Covenant recognize that, with a view to achieving the full
realization of this right:
(a) Primary education shall
be compulsory and available free to all;
(b) Secondary education in
its different forms, including technical and vocational secondary education,
shall be made generally available and accessible to all by every appropriate
means, and in particular by the progressive introduction of free education;
(c) Higher education shall
be made equally accessible to all, on the basis of capacity, by every
appropriate means, and in particular by the progressive introduction of free
education;
(d) Fundamental education
shall be encouraged or intensified as far as possible for those persons who
have not received or completed the whole period of their primary education;
(e) The development of a
system of schools at all levels shall be actively pursued, an adequate
fellowship system shall be established, and the material conditions of teaching
staff shall be continuously improved.
3. The States Parties to
the present Covenant undertake to have respect for the liberty of parents and,
when applicable, legal guardians to choose for their children schools, other
than those established by the public authorities, which conform to such minimum
educational standards as may be laid down or approved by the State and to
ensure the religious and moral education of their children in conformity with
their own convictions.
4. No part of this article
shall be construed so as to interfere with the liberty of individuals and
bodies to establish and direct educational institutions, subject always to the
observance of the principles set forth in paragraph I of this article and to
the requirement that the education given in such institutions shall conform to
such minimum standards as may be laid down by the State.
[7]ความสามารถในการสื่อสาร
(communication) ความคิดสร้างสรรค์ (creativity)
และความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น (collaboration)
[8]Randa Grob-Zakhary et al, ibid.
[9]https://www.moe.gov.sg/education/education-system/21st-century-competencies
[10]Randa Grob-Zakhary et al, ibid.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น