การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นเกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ทั้งกฎหมายภายในประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ ตลอดจนหลักสากล ที่หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจะต้องปฏิบัติภายใต้กรอบของกฎหมายและหลักสากล
ซึ่งมีข้อพิจารณาสำคัญทางกฎหมายบางประการที่น่าสนใจที่ทุกภาคส่วนควรทราบ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจอันจะนำไปสู่ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาให้สำเร็จลุล่วงด้วยดีภายใต้หลักนิติธรรมต่อไป โดยสรุปสาระสำคัญบางประเด็นที่น่าสนใจได้
ดังนี้
1.
การปฏิบัติหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในประเทศ ภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารบรรจุอยู่ด้วยนั้น
เป็นการรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศหรือ
การทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย (Law Enforcement) มิใช่อยู่ในภาวะการรบ(Combat
Operations) หรือการสงคราม (Warfare) ไม่ว่าจะเป็นการขัดกันด้วยอาวุธระหว่างประเทศ
(International Armed Conflict) หรือการขัดกันด้วยอาวุธภายในประเทศ
(Internal Armed Conflict) ก็ตาม เป็นการบังคับใช้กฎหมายอาญาบ้านเมืองปกติทั่วไป
(Domestic Criminal Laws) คล้ายคลึงกับต่างประเทศกรณีไอร์แลนด์เหนือใช้กำลังทหารอังกฤษไปเสริมการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการรักษาความสงบเรียบร้อยหรือการบังคับใช้กฎหมาย
สำหรับในประเทศเช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส.
เจ้าหน้าที่ศุลกากร เจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่สรรพสามิต เป็นต้น ซึ่งมีหน้าที่ป้องกันหรือปราบปรามและจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายในส่วนที่รับผิดชอบ
ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทั่วไป การลักลอบค้ายาเสพติด แรงงานผิดกฎหมายการค้ามนุษย์
การลักลอบนำเข้าสิ่งของผิดกฎหมาย การลักลอบตัดไม้ทำลายป่า การทำเหล้าเถื่อน
ส่วนการนำเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารที่บรรจุใน
กอ.รมน.ภาค 4 สน.มาปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยหรือการบังคับใช้กฎหมายนั้น
มีกฎหมายรองรับให้กระทำได้ ตามที่บัญญัติในมาตรา 56 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2560 บัญญัติสรุปได้ว่า รัฐต้องจัดให้มีกำลังทหารเพื่อพิทักษ์ไว้ซึ่งความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อยของประชาชน
และมาตรา 8 กับมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม
พ.ศ. 2551 กำหนดสรุปได้ว่าให้กระทรวงกลาโหมมีอำนาจหน้าที่พิทักษ์รักษาความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรจากภัยคุกคามทั้งภายนอกและภายในราชอาณาจักร
ตลอดจนปฏิบัติการอื่นที่เป็นการปฏิบัติการทางทหารนอกเหนือจากสงครามเพื่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
และป้องกัน ระงับ
หรือปราบปรามการกระทำความผิดที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐซึ่งจำเป็นต้องใช้กำลังทหารระงับเหตุการณ์ร้ายแรงโดยเร็ว
นอกจากนั้นในการรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศหรือการทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย
พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือทหารสามารถเข้าไปได้ในทุกสถานที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย
เช่น แหล่งชุมชน โรงพยาบาล โรงเรียน หรือสถานที่สำคัญทางศาสนาหรือศิลปวัฒนธรรม
เป็นต้น ไม่มีข้อจำกัดดังเช่นในกรณีการรบหรือการสงครามภายใต้หลักกฎหมายสงครามหรือกฎหมายว่าด้วยการขัดกันด้วยอาวุธระหว่างประเทศ
ที่ผู้ทำการรบที่เรียกว่าพลรบ (Combatant) จะต้องหลีกเลี่ยงไม่เข้าไปในหรือใช้ประโยชน์ทางทหารจากสถานที่ดังกล่าว และการที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงสามารถมาปฏิบัติหน้าที่บังคับใช้กฎหมายได้นั้น
ก็เป็นไปตามประมวลระเบียบการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย
(Code of Conduct for Law Enforcement Officials 1979) ซึ่งถือได้ว่าเป็นหลักสากลที่องค์การสหประชาชาติได้จัดทำขึ้น
กำหนดว่า "เจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย" หมายรวมถึงเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายทุกประเภท
ไม่ว่าจะมาจากการแต่งตั้งหรือเลือกตั้ง ซึ่งใช้อำนาจหน้าที่อย่างตำรวจโดยเฉพาะการจับกุมหรือควบคุมตัว ในประเทศที่ทหารสามารถใช้อำนาจหน้าที่อย่างตำรวจหรือโดยกองกำลังรักษาความมั่นคงของรัฐ
ความหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมายรวมถึงเจ้าหน้าที่ดังกล่าวด้วย
2. หลักกฎหมายสำคัญและหลักสากลที่เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายจะต้องยึดถือเป็นหลักปฏิบัติ
โดยเฉพาะการใช้อาวุธปืน และการชันสูตรพลิกศพกับการไต่สวนสาเหตุการตาย ซึ่งแตกต่างจากการรบหรือการสงคราม
ดังนี้
2.1
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ซึ่งสรุปได้ว่า
การใช้กำลังหรืออาวุธของทหารที่ทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมายต้องพอสมควรแก่เหตุหรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่าไม่เกินกว่าเหตุ ถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายและอยู่ภายใต้หลักการป้องกันตนเอง
กล่าวคือ
เป็นการป้องกันชีวิตของตนเองหรือผู้อื่นให้พ้นภยันตรายที่ใกล้จะถึงจากการประทุษร้ายโดยผู้ต้องสงสัย ผู้ต้องหา หรือผู้ที่จะถูกตรวจค้นหรือจับกุม ดังนั้น
ในการทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมายต้องมีการแสดงตน การเตือนด้วยวาจา การยิงเตือนในทิศทางที่ปลอดภัย เว้นแต่หากสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยหรือเป็นอันตรายต่อชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัสของผู้ใด
2.2
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ซึ่งสรุปได้ว่า
ในกรณีที่มีการตายเกิดขึ้นโดยการกระทำของเจ้าพนักงานระหว่างปฏิบัติหน้าที่หรือตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ให้มีการชันสูตรพลิกศพ
แล้วมีการร้องขอต่อศาลชั้นต้นแห่งท้องที่ที่ศพนั้นอยู่ เพื่อให้ศาลทำการไต่สวนและทำคำสั่งแสดงว่าผู้ตายคือใคร
ตายที่ไหน เมื่อใด และถึงเหตุกับพฤติการณ์ที่ตาย ถ้าตายโดยคนทำร้ายให้กล่าวว่าใครเป็นผู้กระทำเท่าที่จะทราบได้ แล้วส่งสำนวนไปให้พนักงานอัยการหรืออัยการทหารเพื่อมีคำสั่งฟ้องทางอาญาหรือไม่ฟ้องเจ้าพนักงานดังกล่าว
พนักงานอัยการหรืออัยการทหารจะพิจารณาว่าการกระทำของเจ้าพนักงานดังกล่าวเกินกว่าเหตุหรือไม่
หากเห็นว่าไม่ได้กระทำการเกินกว่าเหตุก็จะสั่งไม่ฟ้อง
แต่ถ้าเห็นว่ากระทำเกินกว่าเหตุก็จะสั่งฟ้องเป็นคดีอาญาต่อไป
2.3
หลักการพื้นฐานว่าด้วยการใช้กำลังบังคับและอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย
(Basic Principles on the Use of Force and Firearms by Law Enforcement
Officials) รับรองโดยที่ประชุมขององค์การสหประชาชาติ เป็นส่วนหนึ่งของหลักสากลในการใช้กำลังและอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย
สรุปสาระสำคัญได้ว่า ใช้กำลังบังคับและอาวุธปืนได้เฉพาะที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เคารพสิทธิมนุษยชน ออกกฎเกณฑ์และข้อบังคับว่าด้วยการใช้กำลังบังคับและอาวุธปืน พัฒนาวิธีการใช้อาวุธและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องให้หลากหลายเพื่อให้เหมาะสมกับความจำเป็นที่แตกต่างกันของแต่ละสถานการณ์ เจ้าหน้าที่พึงได้รับอุปกรณ์ป้องกันตัว เช่น
โล่ หมวกป้องกัน ศีรษะ เสื้อกันกระสุน ฯลฯ เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธปืนเพื่อเป็นการป้องกันตัวหรือป้องกันผู้อื่นให้พ้นจากภยันตรายร้ายแรงที่ใกล้จะมาถึงที่อาจถึงแก่ชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัส การแสดงสถานภาพเจ้าหน้าที่และการเตือน เว้นแต่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อชีวิตหรืออันตรายที่ร้ายแรง
การใช้กำลังบังคับต่อการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การใช้กำลังบังคับในการคุมขังหรือควบคุมตัว
การกำหนดคุณสมบัติและการฝึกอบรมเจ้าหน้าที การป้องกันการใช้กำลังหรืออาวุธปืนเกินกว่าเหตุอย่างเป็นระบบ
และการรายงานกับการแก้ปัญหาเมื่อมีการใช้กำลังและอาวุธปืนเกินกว่าเหตุ
ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างการใช้อาวุธปืน
การรบหรือการสงคราม
|
การทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย
|
มาตรการจากหนักไปหาเบาได้
|
มาตรการจากเบาไปหาหนัก
|
มาตรการแรกโจมตีเป้าหมายทางทหาร
|
มาตรการสุดท้ายเพื่อป้องกันชีวิตตนเองหรือผู้อื่น
|
ไม่ต้องมีการแสดงตน
|
ต้องมีการแสดงตนเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่
(หากสถานการณ์เอื้ออำนวย)
|
ไม่ต้องมีการแจ้งเตือนด้วยวาจา
|
ต้องมีการแจ้งเตือนด้วยวาจา
(หากสถานการณ์เอื้ออำนวย)
|
ไม่ต้องมีการยิงเตือน
|
ต้องมีการยิงเตือนในทิศทางที่ปลอดภัย
(หากสถานการณ์เอื้ออำนวย)
|
สามารถยิงข้าศึกได้มากกว่าหนึ่งนัด
|
ใช้กระสุนให้น้อยที่สุด
ควรยิงเท่าที่จำเป็น
ใช้กระสุนหลายนัดอาจเกินกว่าเหตุ
|
ยิงด้านหลังของข้าศึกได้
|
หลีกเลี่ยงการยิงด้านหลัง
(อาจเกินกว่าเหตุ)
|
ไม่มีการชันสูตรพลิกศพและการไต่สวนสาเหตุการตาย
โดยศาล
|
มีการชันสูตรพลิกศพและการไต่สวนสาเหตุการตายโดยศาล
|
3. หลักสิทธิมนุษยชน
เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมายจะต้องมีความรู้ด้านสิทธิมนุษยชน เป็นอย่างดี
เพื่อจะได้ไม่ไปปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาดในการตรวจค้น จับกุม พันธนาการ หรือควบคุมตัว
รวมทั้งการใช้อาวุธปืน ซึ่งความหมายของหลักสิทธิมนุษยชนที่เข้าใจง่ายที่ต้องนำไปปฏิบัติ
คือ เอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่ดูถูกเหยียดหยาม ไม่เลือกปฏิบัติ
คุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ประการสำคัญ ต้องไม่มีการข่มขู่ ไม่กระทำให้อับอาย
หรือไม่ทารุณกรรมในการทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด
บทความนี้จะไม่กล่าวถึงในรายละเอียดของหลักสิทธิมนุษยชน
จะนำเสนอเฉพาะประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ ดังนี้
3.1
การละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่จำเป็นว่าผู้ละเมิดต้องเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเสมอไป
ภาคเอกชนหรือประชาชนบางรายบางกลุ่มอาจเป็นผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชนได้ สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้แท้จริงแล้ว
เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจรวมทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองที่ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้
กอ.รมน.ภาค 4 สน. ไม่ได้เป็นผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชนแต่อย่างใด
แต่เป็นผู้คุ้มครองสิทธิมนุษยชน กล่าวคือ ทำหน้าที่ให้เกิดความสงบสุข
ทำให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตอย่างปกติสุขทั้งในการเดินทางและ การประกอบวิชาชีพ ทำหน้าที่คุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน
นักเรียน และครู ให้ปลอดภัยรอดพ้นจาก
การประทุษร้ายหรือการก่อเหตุความรุนแรง ผู้ที่ทำให้ประชาชนไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติสุข
ก่อเหตุรุนแรงต่อประชาชนและครู คือ ผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริงนั่นเอง แต่หากเจ้าหน้าที่ของรัฐละเมิดสิทธิมนุษยชนก็จะถูกดำเนินคดีอาญา
แพ่ง และวินัย
3.2
กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International
Covenant on Civil and Political Rights : ICCPR) และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (International
Covenant on Economic, Social and Cultural Rights : ICESCR) ซึ่งเกี่ยวข้องกับหลักสิทธิมนุษยชนที่มีผลผูกพันประเทศไทย ได้กำหนดสิทธิในการกำหนดใจตนเอง (right
to self- determination) ทำนองเดียวกันในข้อ 1. ของกติกาทั้งสองฉบับสรุปได้ว่า ประชาชนทั้งปวงมีสิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเอง
โดยอาศัยสิทธินั้น ประชาชนจะกำหนดสถานะทางการเมืองอย่างเสรี รวมทั้งดำเนินการอย่างเสรี
ในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของตน
แม้ประเทศไทยจะมีพันธกรณีผูกพันตามกติกาข้างต้นทั้งสองฉบับ
แต่ไม่สามารถนำมาอ้างให้มีการออกเสียงประชามติกำหนดสถานะทางการเมืองเกี่ยวกับการแบ่งแยกดินแดนหรือรูปแบบการปกครองที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญได้
เนื่องจากประเทศไทยได้ทำถ้อยแถลงตีความ (ข้อสงวน)
ยื่นต่อเลขาธิการสหประชาชาติไว้ว่า "มิให้ตีความว่าอนุญาตหรือสนับสนุนการกระทำใด
ๆ
ที่จะเป็นการแบ่งแยกหรือทำลายบูรณภาพแห่งดินแดนหรือเอกภาพทางการเมืองของรัฐเอกราชอธิปไตย ทั้งนี้ ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน"
นอกจากนั้นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
มาตรา 1 บัญญัติว่า
ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้ และมาตรา
166
บัญญัติสรุปได้ว่า
ในกรณีมีเหตุอันสมควร
คณะรัฐมนตรีจะขอให้มีการออกเสียงประชามติในเรื่องใดอันมิใช่เรื่องที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญได้ตามที่กฎหมายบัญญัติ
จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการออกเสียงประชามติที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและแย้งกับถ้อยแถลงตีความ
(ข้อสงวน) ดังกล่าว
สรุป
การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารภายใต้ กอ.รมน.ภาค 4
สน.
เป็นการรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศหรือการทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย โดยการใช้อาวุธปืนแตกต่างจากการรบหรือการสงคราม และผู้ที่ทำให้ประชาชนไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติสุขเป็นผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชน
นอกจากนั้น ไม่ว่าผู้ใดหรือกลุ่มใดไม่อาจอ้างให้มีการออกเสียงประชามติกำหนดสถานะทางการเมืองเกี่ยวกับการแบ่งแยกดินแดนหรือรูปแบบการปกครองที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและแย้งกับถ้อยแถลงตีความของประเทศไทยได้
ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายภายในประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ
ตลอดจนหลักสากล
-----------------
* ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น