นายปกรณ์ นิลประพันธ์[1]
เดิมนั้นไม่มีแนวทางที่ชัดเจนว่าการกำหนดค่าธรรมเนียมควรกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติหรือกฎกระทรวง
จึงทำให้เกิดความลักลั่นขึ้น กรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (นายดิเรก ชัยนาม) จึงมีหนังสือ
ที่ ฎ. 3191/2479 ลงวันที่ 18 สิงหาคม 2479
ขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณากำหนดแนวทางดังกล่าวให้ชัดเจน
เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาในขณะนั้น
(ศาสตราจารย์ เดือน บุนนาค) จึงมอบหมายให้ที่ปรึกษาการร่างกฎหมาย (นาย อาร์.
กียอง) ศึกษาและจัดทำความเห็นขึ้น ซึ่งปรึกษาการร่างกฎหมายได้จัดทำบันทึก เรื่อง
การเก็บค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ขึ้น ความว่า
“คณะรัฐมนตรีต้องการทราบว่า จะถืออะไรเป็นหลักวินิจฉัยว่าค่าธรรมเนียมอย่างไรควรบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติและค่าธรรมเนียมอย่างไรควรบัญญัติไว้ในกฎกระทรวง
นั้น
ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า
(ก)
จะถือเอาสภาพแห่งค่าธรรมเนียมเป็นหลักวินิจฉัยก็เป็นการยากเพราะเหตุว่า
ค่าธรรมเนียมมีมากมายหลายชนิด และว่าด้วยเรื่องต่าง ๆ กันจนนับไม่ถ้วน
บางเรื่องก็สำคัญ บางเรื่องก็ไม่สำคัญ ที่จะแยกประเภทของเรื่องต่าง ๆ
เหล่านั้นแทบจะเป็นการพ้นวิสัย
(ข)
จะถือเอาจำนวนแห่งค่าธรรมเนียมเป็นหลักวินิจฉัยก็ยากอีก
เพราะเหตุว่าจำนวนย่อมมีแตกต่างกันไปมากเหมือนกัน จะถือเอาจำนวนค่าธรรมเนียมเท่าใดเป็นหลักว่าถ้าต่ำกว่านั้น
ควรบัญญัติไว้ในกฎกระทรวง และถ้าสูงกว่าจึงควรบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติก็ไม่ได้
เพราะว่า แต่ละจำนวนจะต้องพิจารณาประกอบกับสาระสำคัญแห่งค่าธรรมเนียม เงิน 5 บาท
อาจเป็นค่าธรรมเนียมที่มากไปในกรณีหนึ่ง และอาจน้อยเกินไปในอีกกรณีหนึ่งก็เป็นได้
รวมความว่าหลักที่จะวินิจฉัยแบ่งแยกว่า
ค่าธรรมเนียมอย่างไรควรบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติและค่าธรรมเนียมอย่างใดควรบัญญัติไว้ในกฎกระทรวงนั้นมิได้เกี่ยวกับปัญหาในทางบริหารหรือในทางการเงิน
ทั้งนี้ควรจะเป็นปัญหาในทางนิติบัญญัติ
กล่าวคือ ควรมีนโยบายอย่างใดวางลงไว้เสียครั้งหนึ่งตลอดไป
เพื่อถือเป็นหลักในการที่จะกำหนดค่าธรรมเนียมโดยอาการอย่างเดียวกัน
วิธีการต่าง
ๆ ที่อาจถือตามได้ มีอยู่ดังต่อไปนี้ คือ
(ก)
กำหนดค่าธรรมเนียมไว้ในพระราชบัญญัติ วิธีนี้มีประโยชน์ในการยังให้มีความเข้าใจอันแท้จริงระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหาร
และจะไม่มีเรื่องข้องใจสงสัยเกิดขึ้นได้ในกาลภายหน้า แต่ก็มีทางเสียในการที่จะต้องออกพระราชบัญญัติทุกครั้ง
เมื่อต้องการแก้ค่าธรรมเนียม (ซึ่งบางทีก็เป็นการแก้ไขเล็กน้อย)
หรือทุกครั้งเมื่อจะต้องกำหนดค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
เพื่อฝ่ายบริหารจะได้ปฏิบัติการให้เป็นไปตามที่กฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่งได้บังคับไว้
(ข)
กำหนดค่าธรรมเนียมไว้ในกฎกระทรวง ซึ่งเป็นวิธีที่กฎหมายต่าง ๆ
ที่ใช้อยู่เวลานี้ดำเนินอยู่โดยมาก และเป็นวิธีที่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะในเรื่องเช่นนี้รัฐมนตรีชอบที่จะกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมได้โดยอาศัยอำนาจแห่งพระราชบัญญัติ
ซึ่งเป็นเรื่องการมอบอำนาจ แต่ก็มีทางเสีย คือ เป็นการถอนอำนาจการกำหนดค่าธรรมเนียมไปจากฝ่ายนิติบัญญัติ
ในบางกรณีฝ่ายนิติบัญญัติอาจจะเห็นว่าค่าธรรมเนียมที่รัฐมนตรีกำหนดไว้นั้นยังไม่เหมาะสม
(ค)
วิธีการที่จะดำเนินเป็นสายกลาง ควรเป็นดังนี้คือ
ให้อำนาจไว้ในพระราชบัญญัติให้รัฐมนตรีกำหนดค่าธรรมเนียมได้
แต่ไม่เกินกว่าอัตราคั่นสูงที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติ วิธีนี้ได้เคยมีมาบ้างแล้ว
(เช่น ในพระราชบัญญัติการพนันรัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตการเล่นโตแตไลเซเตอร
บุ๊กเมกิง ฯลฯ เสียภาษีไม่เกินกว่าร้อยละสิบแห่งรายรับ)
วิธีนี้เป็นหลักประกันอันสำคัญว่า ค่าธรรมเนียมจะต้องมีอัตราพอสมควร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อรัฐมนตรีระวังที่จะไม่กำหนดค่าธรรมเนียมเสียทีเดียวในอัตราคั่นสูง
ซึ่งอาจทำให้ค้านได้ว่าเป็นการทำให้เสียความมุ่งหมายอันเที่ยงธรรมแห่งวิธีการนี้
ฉะนั้น
จึงไม่น่าสงสัยว่า นโยบายข้อหลังตามที่กล่าวมาในข้อ (ค)
ข้างบนนี้มีเหตุผลดีที่ควรดำเนินตามมากกว่าอื่น”
(Emphasis
added)
หลังจากนั้น
เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาจึงได้มีหนังสือ ที่ 801/2479 ลงวันที่ 10 กันยายน 2479
(หรือเพียง 23 วันเท่านั้นนับแต่วันที่ลงในหนังสือของกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี) ส่งความเห็นของที่ปรึกษาการร่างกฎหมายไปยังกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ต่อมา
กรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้มีหนังสือ ที่ น. 4034/2479 ลงวันที่ 16 กันยายน 2479
แจ้งว่าได้เสนอความเห็นของที่ปรึกษาการร่างกฎหมายต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาแล้ว และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
14 กันยายน 2479 เห็นชอบกับความเห็นของที่ปรึกษาการร่างกฎหมายที่เสนอใน (ค)
กล่าวคือ ให้อำนาจไว้ในพระราชบัญญัติให้รัฐมนตรีกำหนดค่าธรรมเนียมได้ แต่ไม่เกินอัตราคั่นสูงที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติ
และให้ถือเป็นระเบียบปฏิบัติต่อไปในเมื่อมีการเสนอร่างพระราชบัญญัติซึ่งมีค่าธรรมเนียม
เห็นไหมล่ะว่าเรื่องนี้มันมีที่มา
... อย่าเอาแต่หลับหูหลับตาอ้างว่ามันเป็น “แบบ”
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
เรื่องเสร็จที่ 68/2479
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น