บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่สำคัญที่สุดนั้น อยู่ในหมวด 1 บททั่วไป
บททั่วไปนี้เปรียบเสมือนร่มคันใหญ่ที่ครอบคลุมหลักการอันเป็นสาระสำคัญทั้งหมดของรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติในหมวดอื่นต่อ ๆ ไปจะเป็นการระบุหลักการในรายละเอียดของแต่ละเรื่อง
น่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีคนทำความเข้าใจบททั่วไปของรัฐธรรมนูญ โดยมากจะพุ่งตรงไปที่เนื้อหาสาระในรายละเอียด หยิบแต่ละคำ แต่ละวรรคมาพูด ไม่ปะติดปะต่อกัน และไม่เป็นระบบ ทำให้เกิดความสับสนกันอยู่เนือง ๆ
อย่างบทบัญญัติมาตรา 98(6) ที่ว่า ผู้เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล ห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง … ถ้าไม่คำนึงถึงบททั่วไป ก็จะพูดไปได้ว่าก็รัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนว่าศาลไทยนี่ ดังนั้น ใครก็ตามที่ "เคย" ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาลประเทศใด ๆ ในโลกนี้ ล้วนต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งทั้งนั้น
จริง ๆ ถ้าไปอ่านบททั่วไปตามหมวด 1 ก็จะเกิดความเข้าใจที่ชัดเจน เพราะมาตรา 3 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า“อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ” และหมวด 10 ของรัฐธรรมนูญก็ว่าด้วย “ศาล” ในรายละเอียดอย่างชัดเจน ว่าหมายถึงศาลยุติธรรม ศาลปกครอง และศาลทหาร
ดังนั้น “ศาล” ตามรัฐธรรมนูญจึงไม่ใช่ศาลที่ไหนในโลกก็ได้ แต่ต้องเป็น “ศาลไทย” ตามที่บัญญัติไว้ในหมวด 10 ศาล เท่านั้น
ส่วนการที่มาตรา 98(7) บัญญัติห้ามมิให้ผู้เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงสิบปีนับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ เป็นผู้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งนั้น
เมื่อศาลซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการตามมาตรา 98(6) ประกอบมาตรา 3 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญหมายถึงศาลไทย และมาตรา 3 วรรคสองบัญญัติว่า “รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม” ซึ่งเป็นไปตามหลัก Solus populi suprema lex esto หรือความผาสุกของประชาชนคือกฎหมายสูงสุด ที่ซิเซโร (Cicero) ว่าไว้ในหนังสือ De Legit ดังนั้น กฎหมายที่ศาลจะใช้บังคับก็คือ “กฎหมายไทย”
เมื่อเป็นเช่นนี้ การลงโทษจำคุกผู้กระทำความผิดตามมาตรา 98(7) จึงต้องเป็นไปตาม “กฎหมายไทย” ด้วย ไม่ใช่ถูกจำคุกตามกฎหมายที่ใด ๆ ในโลกก็ได้
ยิ่งเรื่องนี้เป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการสมัครับเลือกตั้งอันเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ยิ่งต้องตีความโดยเคร่งครัด ไม่ใช่ตีความแบบขยายความ เพราะจะให้ผลเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนเกินสมควรแก่เหตุ
สำหรับลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 (9) และ (10) ซึ่งต่อเนื่องกัน ก็ต้องตีความตามหลัก ejusdem generis อันเป็นหลักการตีความกฎหมายอันเป็นสากล สรุปง่าย ๆ ได้ว่า หากบทบัญญัติของกฎหมายมีถ้อยคำต่อเนื่องกันหรือเรียงลำดับกัน การตีความลำดับถัด ๆ ไป หรือลำดับสุดท้าย ต้องมีความหมายทำนองเดียวกับคำหรือลำดับที่มีมาก่อน เพราะเป็นความเดียวกันหรือต่อเนื่องกัน เพราะฉะนั้น คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลตามมาตรา 98(9) และ (10) จึงหมายถึงคำพิพากษาหรือคำสั่งของ “ศาลไทย” และกฎหมายนั้นก็ต้องเป็น “กฎหมายไทย”
และนี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมมาตรา 98 ของรัฐธรรมนูญจึงเรียงลำดับ (6)(7)(9) และ (10) ...
มันไม่ใช่ “แบบกฎหมาย” อย่างที่พูดกันเพรื่อไป แต่เป็น “ตรรกะ” ในการเขียนกฎหมาย ... ไม่ใช่นึกอยากเขียนอะไรก็เขียน
ทั้งนี้ การใช้และการตีความกฎหมายนั้นต้องเป็นกลางปราศจากอคติทั้งปวงด้วย
หาไม่แล้ว การใช้และการตีความกฎหมายจะเบี่ยงเบนไปจากเจตนารมณ์ที่แท้จริง และจะสร้างความสับสนขึ้นในสังคม อันเป็นสิ่งไม่พึงประสงค์
ความสำคัญของหมวด 1 บททั่วไปยังมีอีกมาก
ถ้ามีเวลาจะนำมาเล่าสู่กันฟังในโอกาสต่อไปครับ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น