พักหลัง ๆ นี้มีการเสนอให้มีกฎหมายจัดตั้งกองทุนหลายฉบับ
เมื่อถามหน่วยงานที่เสนอกฎหมายแบบนี้เข้ามาว่าทำไมต้องตั้งกองทุนให้มันวุ่นวายด้วย
ทำไมไม่ใช้เงินงบประมาณ เพราะถึงอย่างไรก็ต้องถูกตรวจสอบโดยองค์กรต่าง ๆ อยู่ดี
ที่ว่าวุ่นวายเพราะหน่วยงานที่เสนอกฎหมายต้องแยกทำบัญชีของกองทุนอีกต่างหาก
ทั้งสร้างต้นทุนในการบริหารจัดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาอาคารสถานที่ บุคลากร
และเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ ซึ่งแน่นอนว่าต้องปันเงินกองทุนมาใช้จ่ายเพื่อการนี้ ไหนจะเบี้ยประชุม ค่าตอบแทน ค่าใช้จ่ายนั่นนี่นู่น อีกทั้งการแบ่งเงินงบประมาณมาตั้งเป็นกองทุนนี่ก็ทำให้การจัดสรรเงินงบประมาณที่ควรจะเป็นก้อนใหญ่กลับกระจัดกระจายเป็นเบี้ยหัวแตก
(diversion of public fund) การใช้จ่ายเงินของกองทุนที่ตั้งขึ้นอย่างมากมายจึงไม่ทรงพลัง
เพราะต่างกองทุนต่างก็มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน
มีคณะกรรมการบริหารกองทุนกันคนละชุด เปรียบเสมือนวงดนตรีวงเล็กวงน้อยที่มาบรรเลงเพลงของตัวเองพร้อม ๆ กันบนเวทีเดียวกัน ไม่ได้เล่นเป็นวงใหญ่ ดนตรีที่ออกมาจึงไม่ไพเราะเสนาะหู รำคาญโสตประสาทเสียมากกว่า
เชื่อไหมครับว่าทุกหน่วยตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าเงินงบประมาณนั้นใช้ยากหนักหนา
มีระเบียบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ นา ๆ มากมาย แต่ถ้าเป็นการใช้จ่ายเงินกองทุนจะคล่องตัวกว่า
เพราะระเบียบการใช้จ่ายเงินต่าง ๆ คล่องตัวกว่าระเบียบกฎเกณฑ์การใช้จ่ายเงินงบประมาณ
ดังนั้น พอเสนอกฎหมายอะไรก็ตามก็เลย “เป็นธรรมเนียม”
ว่าจะต้องเสนอให้มีการตั้งกองทุนแถมไปด้วยทุกครั้ง
เอ๊ะ ... หรือจะแอบใช้เป็นช่องทางเพิ่มอัตรากำลังและค่าตอบแทนในรูปเบี้ยประชุมแบบเนียน ๆ ก็ไม่รู้ได้ ... แต่ถ้าคิดอย่างหลังนี้นับว่าไม่ดีเอามาก ๆ เข้าข่ายมีเจตนาซ่อนเร้นเพื่อให้ตนได้รับผลประโยชน์นะครับ
นี่ถือเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมากในทัศนะของผู้เขียน
เพราะปัญหาที่แท้จริงคือระเบียบกฎเกณฑ์ในการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินมันไม่คล่องตัว
แต่แทนที่จะปรับปรุงระเบียบกฎเกณฑ์ที่ว่านี้ กลับใช้วิธีเสนอกฎหมายตั้งกองทุนแทนเพื่อจะมีกฎระเบียบที่คล่องตัวกว่า
เอาเข้าไป???
อย่างนี้เขาเรียกว่าแก้ปัญหาไม่ถูกจุดหรือเกาไม่ถูกที่คันครับ มันจะหายคันได้อย่างไร
แต่ที่จะเล่าในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องการตั้งกองทุนหรอกครับเพราะมีคนดูแลเรื่องความจำเป็นที่จะต้องตั้งกองทุนอยู่แล้ว
บ่นไปอย่างนั้นเอง หากจะเล่าเรื่องการเขียนบทบัญญัติในการจัดตั้งกองทุนครับ
สังเกตนะครับว่าบทบัญญัติเกี่ยวกับการตั้งกองทุนนี้
นอกจากจะมีบทบัญญัติให้ตั้งกองทุนขึ้นแล้ว ยังต้องมีบทบัญญัติที่ต้องบอกให้ชัดเจนว่าวัตถุประสงค์ของกองทุนคืออะไร
เงินและทรัพย์สินของกองทุนประกอบด้วยอะไรบ้าง ให้ใช้จ่ายได้เพื่อการใดบ้าง
การบริหารกองทุนจะเป็นอย่างไร มีระบบการเงินการบัญชีและการตรวจสอบอย่างไร
เรื่องอื่นไว้เล่าที่หลังครับ
ตอนนี้จะว่าเฉพาะการเขียนเรื่องเงินและทรัพย์สินของกองทุนก่อน
สังเกตไหมครับว่าในเรื่องกองทุนนี้จะต้องมีมาตราหนึ่งเสมอที่เขียนว่ากองทุนประกอบด้วยเงินและทรัพย์สินดังต่อไปนี้
แล้วก็จะมีอนุมาตราจาระไนเรียงกันไปว่าเงินและทรัพย์สินของกองทุนมาจากแหล่งไหนบ้าง ก็ว่ากันมาตั้งแต่แหล่งสำคัญที่สุดลงมา แล้วอนุมาตราสุดท้ายจะจบด้วย “(..) ดอกผลของเงินและทรัพย์สินของกองทุน”
เหตุที่ต้องจบด้วย
“(..) ดอกผลของเงินและทรัพย์สินของกองทุน”
เพราะจะได้รวมดอกผลทุกชนิดของเงินและทรัพย์สินจากทุกแหล่งที่ได้จาระไนตั้งแต่ข้างบนลงมาครับ
อันนี้เป็นข้อกฎหมายนะครับ ไม่ใช่ “แบบ” อย่างที่ใคร ๆ ชอบอ้าง เพราะถ้าไปเติมแหล่งเงินอื่น
ๆ เข้าไปหลังอนุมาตราที่ว่า “(..) ดอกผลของเงินและทรัพย์สินของกองทุน” จะเกิดปัญหาให้ต้องมาเวียนหัวในการตีความว่าแล้วดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาเพิ่มเติมนั้นจะเป็นของกองทุนหรือเปล่า
ดังนั้น เวลามือเก๋าเขาจะเติมแหล่งเงินเข้าไปในมาตราที่ว่าด้วยเงินและทรัพย์สินของกองทุน
เขาจะเติมเป็นอนุมาตราก่อนอนุมาตราที่ว่า “(..) ดอกผลของเงินและทรัพย์สินของกองทุน”
เสมอ ไม่ใช่นึกจะเติมตรงไหนก็เติม ... เรียกว่าเติมอย่างมีสติ
เห็นไหมครับว่าเรื่องมันมีเหตุมีผล
ไม่ใช่ “แบบ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น