วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ทหารกับการบริหารจัดการการชุมนุมสาธารณะ (ตอนที่ 2) โดย พลเอก กฤษณะ บวรรัตนารักษ์*


                   บทความนี้ต่อเนื่องจากบทความเรื่อง"สรุปหลักกฎหมาย หลักสากล หลักสิทธิมนุษยชน คำสั่งและคำพิพากษาของศาลปกครอง มติคณะรัฐมนตรี ข้อบังคับ และกฎในส่วนที่เกี่ยวกับทหารกับการบริหารจัดการการชุมนุมเรียกร้อง" ที่ลงพิมพ์ในวารสารหลักเมืองฉบับ เดือนมิถุนายน 2561 ซึ่งฉบับที่แล้วกล่าวถึงหลักการ ส่วนฉบับนี้จะกล่าวถึงข้อสังเกตสำคัญบางประการเพื่อประกอบการพิจารณาในการจัดทำแผนหรือสั่งการหรือปฏิบัติต่อไป ซึ่งมาจากการรวบรวมข้อมูลด้านกฎหมายและหลักสากล โดยเป็นเพียงข้อสังเกตของผู้เขียนซึ่งไม่ผูกพันส่วนราชการใดแต่ประการใด สรุปได้ดังนี้

                   1. การที่สื่อมวลชนหรือบางหน่วยงานใช้คำภาษาอังกฤษว่า “mob”(ม็อบ) เช่น มีม็อบมาอยู่หน้าทำเนียบรัฐบาล ขณะนี้มีม็อบเกษตรกรมาชุมนุมเรียกร้องหน้าศาลากลางจังหวัดหรือกระทรวง หรือมีม็อบพืชไร่ปิดถนนเพื่อเรียกร้องให้ทางราชการพยุงราคาพืชไร่ เป็นต้นนั้น เป็นการเรียกหรือใช้คำที่คลาดเคลื่อน ความหมายตามภาษาอังกฤษ ม็อบหมายถึงฝูงชนที่บ้าคลั่งเผาทำลายสิ่งของ หรือออกอาละวาดเผาทำลายทรัพย์สินของประชาชน หรือออกปล้นสะดม  ซึ่งที่ถูกต้องแล้วสื่อมวลชนและหน่วยงานควรรายงานหรือกล่าวว่า มีกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องมาอยู่หน้าทำเนียบรัฐบาล  ขณะนี้มีกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องเกษตรกรมาชุมนุมเรียกร้องหน้าศาลากลางจังหวัดหรือกระทรวง หรือมีกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องพืชไร่ปิดถนนเพื่อเรียกร้องให้ทางราชการพยุงราคาพืชไร่

                   2. การฝึกอบรม กำลังพลทหารที่จะมาบริหารจัดการการชุมนุมสาธารณะ (ควบคุมฝูงชนหรือหากสถานการณ์รุนแรงมีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติอาจจำเป็นต้องปราบปรามการจลาจล) จะต้องได้รับการฝึกอบรมให้มีทักษะ ความเข้าใจ และอดทนต่อสถานการณ์การชุมนุมสาธารณะเป็นประจำเป็นอย่างดี ไม่ควรมอบหมายให้กำลังพลที่ไม่ได้เข้ารับการฝึกอบรมโดยเด็ดขาด หากมอบหมายมีแนวโน้มสูงว่าจะปฏิบัติการผิดพลาด เพราะการบริหารจัดการการชุมนุมสาธารณะนั้นมีวิธีการและขั้นตอนแตกต่างจากการปฏิบัติการทางทหารในลักษณะ Combat Operations ที่กำลังพลทหารส่วนใหญ่ได้รับการฝึกอบรมเฉพาะการปฏิบัติการทางทหารดังกล่าวข้างต้นเท่านั้น ซึ่งเน้นการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ร้ายแรงกับความรุนแรงเป็นหลัก นอกจากนั้นกำลังพลที่ใช้ในการบริหารจัดการการชุมนุมสาธารณะจะต้องมีความอดทนและอดกลั้นเป็นอย่างสูงต่อการยั่วยุ สำหรับผู้บังคับบัญชาทหารควรจะมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการชุมนุมเรียกร้องว่ากรณีใดเป็นการชุมนุมที่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีใดเป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และสำหรับกรณีการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ก็แบ่งเป็นการชุมนุมที่ไม่ก่อเหตุร้ายกับการก่อเหตุร้าย เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาตัดสินใจในการใช้กำลังทหารในส่วนที่เกี่ยวข้อง

                   3. อุปกรณ์การควบคุมฝูงชนนั้นจะต้องใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมโดยเฉพาะเท่านั้น ประกอบด้วยเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่ที่ตัดเย็บมาโดยเฉพาะและกันความร้อนหรือไฟ อุปกรณ์ที่เรียกว่า"สนับ"เพื่อป้องกันส่วนที่สำคัญของร่างกาย หมวกที่มีความแข็งแรง หน้ากากป้องกันแก๊สน้ำตาหรือไอพิษ โล่ กระบอง ระเบิดเสียง ระเบิดควัน แก๊สน้ำตา กระสุนยาง และรถฉีดน้ำ ซึ่งอุปกรณ์ที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ คือ กระสุนยาง และรถฉีดน้ำ กล่าวคือ ต้องมั่นใจว่ากระสุนยางที่จะนำมาใช้ต้องไม่หมดอายุ เพราะหากหมดอายุกระสุนยางที่เคยนิ่มหรืออ่อนตัวจะมีความแข็งเสมือนวัสดุของแข็ง ใช้ไปย่อมก่อให้เกิดความบาดเจ็บอย่างรุนแรงอาจถึงแก่ชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัสได้ ส่วนรถฉีดน้ำนั้นควรเป็นรถฉีดน้ำที่จัดทำมาเพื่อควบคุมฝูงชนโดยเฉพาะที่มีระบบความปลอดภัยของพลขับและกำลังพลในรถ ตลอดจนสามารถเคลื่อนที่ไปฉีดน้ำไป หากใช้รถดับเพลิงมาใช้ฉีดน้ำสลายการชุมนุม นอกจากเป็นการใช้อุปกรณ์ผิดวัตถุประสงค์แล้ว ต่อไปรถดับเพลิงจะกลายเป็นเป้าหมายในการทำลายจากฝูงชนแล้วอาจเป็นผลให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงไม่สามารถใช้การได้หากมีอัคคีภัยในพื้นที่เกิดขึ้น นอกจากนั้นรถดับเพลิงต้องหยุดกับที่เวลาฉีดน้ำกับไม่มีระบบความปลอดภัยของพลขับและกำลังพลในรถ

                   4. กฎการใช้กำลังหรือเดิมที่เรียกว่ากฎการปะทะหรือกฎการโจมตีของทหารนั้น ในการควบคุมฝูงชนจะต้องเหมาะสมกับสถานการณ์และอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย กระชับและเข้าใจง่าย รวมทั้งไม่กำหนดให้เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของกำลังพลทหาร ตลอดจนสามารถปรับเปลี่ยนได้ให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ที่อาจมีการเปลี่ยนแปลง และควรกำหนดในกฎการใช้กำลังให้มีการเตรียมการรักษาพยาบาลเบื้องต้นกรณีมีผู้บาดเจ็บของกลุ่มฝูงชนและกำลังพลที่มาปฏิบัติหน้าที่ ตลอดจนการส่งผู้บาดเจ็บสาหัสไปยังโรงพยาบาล ซึ่งการยกร่างกฎการใช้กำลังนั้นควรดำเนินการโดยฝ่ายยุทธการหรือผู้ปฏิบัติของหน่วยทหารแล้วให้เจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายกฎหมายร่วมพิจารณาในประเด็นข้อกฎหมาย

                   5. หากเป็นการใช้กำลังทหารปราบปรามการจลาจลนั้นจะต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบภายใต้พระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ และพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ แต่หากเป็นการใช้กำลังทหารปราบปรามการจลาจลในพื้นที่ประกาศใช้กฎอัยการศึก ไม่จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบก่อนจากคณะรัฐมนตรี 

                   6. เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารอาจเข้าไปเกี่ยวข้องกับการชุมนุมสาธารณภายใต้พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ได้ในสองกรณี กรณีแรกตามมาตรา 19 วรรคหก เจ้าพนักงานตำรวจที่ดูแลการชุมนุมสาธารณะอาจร้องขอให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารในท้องที่ที่มีการชุมนุมสาธารณะดำเนินการตามคำร้องขอภายในขอบอำนาจหน้าที่ของผู้นั้น ซึ่งกรณีนี้เป็นการสนับสนุนช่วยเหลือ มิใช่การขอให้ใช้กำลังทหารควบคุมฝูงชนโดยตรง หน่วยทหารที่ได้รับการร้องขอจะต้องพิจารณาดำเนินการภายใต้อำนาจหน้าที่ของหน่วยเป็นเรื่องๆ ไป เช่น หน่วยทหารขนส่งอาจสนับสนุนยานพาหนะในการเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ หน่วยแพทย์ทหารอาจสนับสนุนการปฐมพยาบาลฝูงชนที่เจ็บป่วยระหว่างการชุมนุม เป็นต้น และกรณีที่สองตามมาตรา 23 วรรคสอง และวรรคสาม กรณีผู้ชุมนุมไม่เลิกการชุมนุมสาธารณะตามคำสั่งศาลและมีการประกาศกำหนดพื้นที่ควบคุม นายกรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้อาจมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์เพื่อให้มีการเลิกชุมนุมได้ กรณีนี้เป็นการใช้กำลังทหารเข้าควบคุมฝูงชนโดยตรง ทั้งนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้กำลัง กรณีไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  ให้ใช้กำลังและเครื่องมือควบคุมฝูงชนเพียงเท่าที่จำเป็น โดยใช้มาตรการจากเบาไปหาหนักและมีการเตือนด้วยเครื่องขยายเสียงทุกขั้นตอน สำหรับเครื่องมือควบคุม ฝูงชนต้องเป็นไปตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2558 เรื่อง เครื่องมือควบคุมฝูงชนในการชุมนุมสาธารณะ ที่ได้กำหนดไว้ 48 รายการ ซึ่งหน่วยทหารที่เกี่ยวข้องควรตรวจสอบเครื่องมือควบคุมฝูงชนและจัดหาให้ครบถ้วนตามประกาศดังกล่าว

                   7. กรณีสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือหน่วยงานในสังกัดร้องขอให้ฝ่ายทหารจัดกำลังทหารไปช่วยเหลือในการระงับเหตุ/อารักขา/รักษาสถานที่และทรัพย์สินของทางราชการ โดยกำลังทหารดังกล่าวเป็น ผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงาน ซึ่งอยู่ภายใต้การสั่งการ/กำกับดูแลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ การดำเนินการข้างต้นเป็นเรื่องที่สำนักตำรวจแห่งชาติหรือหน่วยงานในสังกัดมีหนังสือร้องขอไปยังหน่วยทหาร โดยหน่วยทหารดังกล่าวจะต้องรายงานขออนุมัติตามสายการบังคับบัญชาแล้วมีหนังสือแจ้งตอบไปว่าสามารถดำเนินการตามที่ได้รับการร้องขอได้หรือไม่ ถ้าได้ควรแนบรายชื่อกำลังพลที่จะปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานไปด้วยเพื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือหน่วยงานในสังกัดไปดำเนินการออกเป็นคำสั่งในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารที่ได้รับการร้องขอดังกล่าวข้างต้นจะต้องพิจารณาอย่างระมัดระวังและรอบคอบว่ากรณีดังกล่าวไม่ได้เป็นการใช้กำลังทหารควบคุมฝูงชนหรือปราบปรามการจลาจล โดยควรปรึกษาหารือกับเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายกฎหมายเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างการระงับเหตุ/อารักขา/รักษาสถานที่และทรัพย์สินของทางราชการกับการควบคุมฝูงชนหรือการปราบปรามการจลาจล ซึ่งมีลักษณะการปฏิบัติการที่แตกต่างกัน หากเข้าข่ายการควบคุมฝูงชนหรือการปราบปรามการจลาจล ผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารดังกล่าวก็จะต้องพิจารณาดำเนินการตามที่กล่าวแล้วข้างต้นทุกประการ

                   สรุป การบริหารจัดการการชุมนุมสาธารณะโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารนั้นนอกจากอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย หลักสากล หลักสิทธิมนุษยชน และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องแล้ว ยังจะต้องมีการฝึกอบรมกำลังพลทหารที่เกี่ยวข้อง การใช้เครื่องมืออุปกรณ์หรือเครื่องมือควบคุมฝูงชนที่เหมาะสม กฎการใช้กำลังที่เหมาะสมมีความอ่อนตัวปรับเปลี่ยนได้

-------------------------------
*ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น