วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2562

ร่างกฎหมายจัดการซากผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์: ของดีที่ยังไม่ผ่าน สนช. โดย นายจิรวัฒน์ จงสงวนดี*


                    ก่อนอื่นขอบอกว่าบทความนี้มีเจตนาที่จะสร้างความตระหนักรู้เพื่อการเตือนภัยและเตรียมรับมือกับภัยอันใกล้ที่จะเกิดอย่างแน่นอนในรุ่นลูกหลานของเรา

                    เข้าใจว่าพวกเราคงเคยได้ยินชื่อโรค “อิไต อิไต” (イタイイタイ病) กันมาบ้างแล้ว คำว่า “อิไต อิไต” เป็นภาษาญี่ปุ่นที่แปลเป็นไทยว่า เจ็บปวด ที่เรียกแบบนี้ก็เพราะว่า ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บปวดรุนแรงแสนสาหัสทีเดียว อันเนื่องมาจากสารแคดเมียมที่ปนเปื้อนมากับสิ่งต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกายไม่ว่าทางน้ำ อาหาร หรืออากาศที่หายใจเข้าไป ด้วยว่าเจ้าแคดเมียมนี่เป็นธาตุที่ละลายน้ำได้ จึงสามารถสะสมในพืชอาหารในระดับที่เป็นพิษต่อคนและสัตว์ได้ (ธนภัทร ปลื้มพวก และคณะ,ปริมาณแคดเมียมในข้าวที่ปลูกในดินนาปนเปื้อนแคดเมียมในพื้นที่ ลุ่มน้ำแม่ดาว จังหวัดตาก ประเทศไทย (๒๕๕๗))

                   โรคนี้เกิดรุนแรงมากในญี่ปุ่นเมื่อราวสามสี่สิบปีที่ผ่านมาพร้อม ๆ กับโรคมินามาตะและโรคคาวาซากิ เพราะยุคนั้นของญี่ปุ่นมีการทิ้งสิ่งของต่าง ๆ ที่ใช้แคดเมี่ยม ตะกั่ว และปรอทเป็นองค์ประกอบกันเรี่ยราดมากทั้งบนบกและในทะเล แคดเมี่ยม ตะกั่ว และปรอทจึงปนเปื้อนเข้าสู่ร่างกายของคนและสัตว์ไปทั่ว ยิ่งปลานี่ยิ่งเยอะ แถมชาวญี่ปุ่นนิยมกินปลา มันก็เลยเข้าไปในร่างกายผู้บริโภคกันอย่างอิ่มหนำสำราญ

                   กรณีแคดเมียม เมื่อสะสมในร่างกายปริมาณมากจะไปทำลายไต รวมทั้งระบบประสาทและสมอง ในกรณีสตรีมีครรภ์อาจมีผลให้เด็กพิการแต่กำเนิดได้ เมื่อสะสมในกระดูกจะทำให้กระดูกผุ และยังเป็นสารก่อมะเร็งที่ไตและต่อมลูกหมาก และอาการเลือดจางอีกด้วย ทำให้หลายประเทศแบนสินค้าทางการเกษตรและอาหารที่มีการปนเปื้อนแคดเมียม

                   ที่ผ่านมาประเทศไทยก็เคยมีปัญหาอย่างนี้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ในปลา เป็นข้าวอันเป็นอาหารหลักของเรา โดยเพราะพบว่ามีการปนเปื้อนแคดเมี่ยมในข้าว เช่น ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ มีข่าวว่าข้าวไทยปนเปื้อนสารแคดเมียมถึง ๐.๔๘ ๐.๕๗๑ มิลลิกรัม ซึ่งเกินมาตรฐานที่กำหนดไว้ไม่เกิน ๐.๒ มิลลิกรัม แน่นอนว่าหากหลุดรอดออกไปขายต่างประเทศ จะทำให้ข้าวไทยเสียชื่อเสียง เสียตลาด และแน่นอน เสียความสามารถในการแข่งขัน

                   ที่น่าสนใจก็คืองานวิจัยชิ้นหนึ่งที่เสนอในการประชุมทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ครั้งที่ ๕๔ แสดงให้เห็นว่า ในตัวอย่างข้าวทั้งหมด ๕๔ ตัวอย่าง มีการปนเปื้อนแคดเมียมเกินค่ามาตรฐานสูงสุด ๔ ตัวอย่าง ปนเปื้อนโครเมียมเกินค่ามาตรฐานสูงสุดพบในข้าวขาวร้อยละ ๓๓.๓๓ ข้าวกล้องร้อยละ ๒๓.๘๑ และข้าวสีนิลร้อยละ ๕๐ โดยข้าวสีนิลมีการปนเปื้อนตะกั่วเกินค่ามาตรฐานสูงสุดคิดเป็นร้อยละ ๘๓.๓๓ ข้าวขาวและข้าวกล้องมีการปนเปื้อนของตะกั่วเกินค่ามาตรฐานสูงสุดที่กำหนดไว้คือร้อยละ ๔๐.๗๔ และร้อยละ ๒๓.๘๑ (วิภาดา ศิริอนุสรณ์ศักดิ์ และคณะ, การวิเคราะห์ปริมาณโลหะหนัก (แคดเมียม โครเมียม และตะกั่ว) ในข้าวไทย (๒๕๕๙))

                    แล้วโรคอิไต อิไต หรือแคดเมี่ยมมาเกี่ยวอะไรกับร่างกฎหมายการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ฯ ได้อย่างไรล่ะ

                   เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขาศึกษาวิจัยวิจัยแล้วพบว่า ซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (Waste from Electrical and Electronic Equipment : WEEE) ในบ้านเรานั้นนับวันจะเพิ่มมากขึ้นทุกที และชิ้นส่วนต่าง ๆ ของซากผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีโลหะหนักเป็นส่วนประกอบ เช่น ตะกั่ว แคดเมียม ปรอท และอื่น ๆ อีกหลายอย่าง หากนำไปกำจัดโดยวิธีการเหมือนการจัดการขยะธรรมดาที่ใช้วิธีเผาหรือฝังกลบ ก็จะเกิดการรั่วไหลของสารต่าง ๆ ไปสู่ดินและแหล่งน้ำ ทั้งน้ำใต้ดินและน้ำผิวดิน รวมทั้งสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งมันก็จะกลายเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบรุนแรงต่อระบบนิเวศและสุขภาพของประชาขน  

                   กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตระหนักถึงภัยคุกคามดังกล่าวจึงได้เสนอร่างกฎหมายที่มีหลักการในการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่าง “ถูกวิธี” เพื่อป้องกันไม่ให้มีการรั่วไหลของสารพิษและโลหะหนักที่จะเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมครับ วิธีการที่ว่านี้ไม่กระทบต่อกิจการค้าของเก่าและซาเล้งที่ทำมาหากินกันอยู่ แต่ใช้ “ความร่วมมือ” จากผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในการรับคืนซากผลิตภัณฑ์เหล่านั้น โดยการนำหลัก Polluter Pays Principle หรือหลักผู้ก่อให้เกิดมลพิษเป็นผู้จ่ายมาใช้ เพราะปัจจุบันผู้ผลิตไม่ได้คิดต้นทุนในการจัดการกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นรวมไว้ทำให้ต้นทุนสินค้าและบริการ ปล่อยให้เป็นภาระของภาครัฐและประชาชน ซึ่งไม่เป็นธรรมและไม่สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล

                   กฎหมายที่ว่านี้ชื่อว่า “ร่างพระราชบัญญัติการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ....” ครับ ผ่านคณะรัฐมนตรีและเสนอไปที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว และสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติรับหลักการเมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๒ และตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นเพื่อพิจารณา ซึ่งในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญดังกล่าวได้มีการนำผลการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกระดับและกฎหมายต่างประเทศที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณาด้วย โดยได้พิจารณาเสร็จและส่งให้ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อพิจารณาในวาระ ๒ และวาระ ๓ ต่อไปแล้วตั้งแต่วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒

                        เสียดายมากที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีกฎหมายที่สำคัญจะต้องพิจารณาจำนวนมาก หากสภานิติบัญญัติแห่งชาติไม่สามารถหยิบยกร่างกฎหมายนี้ขึ้นพิจารณาได้ทัน ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต้องตกไป ปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ก็จะกลายเป็นระเบิดเวลาที่รอเวลาระเบิดต่อไปในรุ่นลูกและหลาน เพราะการแก้ปัญหาดินและน้ำปนเปื้อนนั้นต้องใช้เวลานานกว่าปัญหาฝุ่นละอองในปัจจุบัน เพราะกว่าญี่ปุ่นที่ว่าแน่ ๆ นั้น กว่าจะจัดการปัญหานี้ได้ก็ต้องใช้เวลาสามสี่สิบปีทีเดียว ซึ่งในระหว่างนั้นภัยร้ายแรงจากขยะปนเปื้อนดังกล่าวก็ส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนจำนวนมากไปพร้อมกันด้วย ซึ่งมันไม่คุ้มเลย

                   ที่เขียนมานี้ก็เพื่อแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบว่ามีร่างกฎหมายดี ๆ เช่นนี้อยู่นะครับ จะได้ทราบทั่วกันว่าหลังเลือกตั้งแล้วจะไปตามหาร่างกฎหมายที่คุ้มครองสุขภาพของประชาชนเช่นนี้ได้ที่ไหน

---------------
*นักกฎหมายกฤษฎีกาชำนาญการ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น