ปริมาณและมูลค่าการส่งออกสินค้าข้าวไทยและสินค้าข้าวเวียดนาม
ในปี 2561 กรมการค้าต่างประเทศเผยว่า ประเทศไทยส่งออกข้าวมากถึง 11.13 ล้านตัน โดยมีมูลค่าการส่งออกคิดเป็น 180,413 ล้านบาท โดยประเทศไทยส่งออกข้าวเป็นอันดับ 2 รองจากอินเดีย
และเวียดนามเพื่อนบ้านของเราส่งออกข้าวเป็นอันดับ 3 ซึ่งมูลค่าการส่งออกข้าวของประเทศไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ
4.50 จากปี 2560 ประเทศที่ไทยส่งออกข้าวมากที่สุด 5 ลำดับแรกในปี 2561 คือ
ประเทศเบนิน ประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศแอฟริกาใต้ และประเทศจีน (ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย, ออนไลน์)
เมื่อเทียบกับประเทศเวียดนามพบว่า
ตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญ 5 อันดับแรกของเวียดนามในเดือนมกราคมปี 2562 ได้แก่
ฟิลิปปินส์ (ร้อยละ 46.70) ฮ่องกง (ร้อยละ 7.10) โกตดิวัวร์ (ร้อยละ 5.20) กานา (ร้อยละ 4.40) และมาเลเชีย (ร้อยละ 3.90) (ที่มา: สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครโฮจิมินห์อ้างถึงกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทเวียดนาม, ออนไลน์)
พื้นที่ปลูกข้าวของประเทศไทยและเวียดนาม
ในปี 2561 ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวทั้งหมดประมาณ 70 ล้านไร่
ส่วนใหญ่อยู่ในภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
การปลูกข้าวของไทยแบ่งเป็น 2 แบบ คือ (1) ข้าวนาปี มีปริมาณร้อยละ 80 ของผลผลิตข้าวรวมทั้งประเทศ
เน้นพึ่งน้ำฝนมีช่วงเวลาเพาะปลูกในฤดูฝนช่วงเดือน ก.ค. - ก.ย.ของทุกปี
และเก็บเกี่ยวในช่วงปลายปี (2) ข้าวนาปรัง มีการเพาะปลูกร้อยละ
20 ปลูกในฤดูแล้งซึ่งต้องอาศัยน้ำจากระบบชลประทาน เพาะปลูกในภาคเหนือและภาคกลาง
(ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย, ออนไลน์)
ข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจที่เวียดนามมีการเพาะปลูกมากที่สุด
โดยมีเนื้อที่ปลูกข้าวทั่วประเทศประมาณร้อยละ 70 ของพื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมด
แหล่งปลูกข้าวสำคัญ 2 แหล่ง ได้แก่
บริเวณที่ราบลุ่มปากแม่น้ำแดงทางภาคเหนือ (Red river delta) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการปลูกข้าวเพื่อการบริโภคภายในประเทศ และบริเวณที่ราบลุ่มปากแม่น้ำโขงทางภาคใต้ (Mekong
river delta) ซึ่งเป็นแหล่งปลูกข้าวสำคัญมีขนาดใหญ่ที่สุดและส่วนใหญ่เป็นการปลูกข้าวคุณภาพดีเพื่อการส่งออก
แนวโน้มทิศทางการส่งออกสินค้าข้าวเวียดนามในอนาคต
เวียดนามยังคงมุ่งเน้นการส่งออกข้าวในตลาดเอเชียเป็นหลัก โดยในปี 2562
ประเทศจีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซียมีความต้องการนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะจีนคาดว่าจะมีการนำเข้าข้าว 5.2 ล้านตัน
โดยเพิ่มขึ้น 200,000 ตันจากเมื่อปี 2561
ครึ่งหนึ่งเป็นการนำเข้าภายใต้รัฐวิสาหกิจและอีกครึ่งหนึ่งเป็นการนำเข้าของภาคเอกชน
ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้าจากเวียดนาม ไทย กัมพูชา และพม่า
อินโดนีเซียมีนโยบายนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้น
800,000 ตันจากปี 2561 สำหรับตลาดฟิลิปปินส์คาดว่าในปี
2562 จะมีการนำเข้าข้าวปริมาณ 2.3 ล้านตัน อีกทั้ง ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ได้ออกกฎหมายอนุญาตให้บริษัทเอกชสามารถนำเข้าข้าวโดยไม่จำกัดปริมาณ
ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทเอกชนในฟิลิปปินส์จำนวน 180 ราย ที่ได้ขึ้นทะเบียนเพื่อนำเข้าข้าวจากเวียดนามปริมาณรวม
1.2 ล้านตัน แสดงให้เห็นว่าตลาดฟิลิปปินส์เป็นอีกหนึ่งตลาดส่งออกข้าวที่มีความสำคัญของเวียดนาม
นอกจากนี้ในปี
2562 ประเทศมาเลเซียมีเป้าหมายจะนำเข้าข้าวปริมาณ 950,000 ตันอีกด้วย ซึ่งมีความเป็นไปได้ในการนำเข้าข้าวจากเวียดนาม เนื่องจากเวียดนามมีความสามารถในการแข่งขันด้านราคา (ที่มา: สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครโฮจิมินห์, 2561)
ปัจจุบันเวียดนามมีการออกนโยบายในการผลักดันตนเองให้เป็น “ผู้นำในการส่งออกข้าว”
โดยกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนาม ได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาการส่งออกข้าวในช่วงปี 2017 - 2020 มีการวางกลยุทธ์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
และส่งเสริมการส่งออกข้าวโดยการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันและ “สร้างแบรนด์ข้าวเวียดนาม”
เพื่อส่งออกและเพิ่มศักยภาพในการกระจายตลาดส่งออก (Vietnam Economic News, online)
เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2562 ที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทเวียดนาม และบริษัท Korea Rural Community Corporation (
การวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์สินค้าข้าวไทยและสินค้าข้าวเวียดนาม
ในอดีต
ไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวหอมมะลิรายใหญ่ของโลก แต่ปัจจุบันเผชิญภาวะการแข่งขันรุนแรงขึ้นเป็นลำดับจากประเทศคู่แข่งที่มีการพัฒนาพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพใกล้เคียงกัน
อาทิ ข้าวบาสมาติของอินเดีย และข้าวกลิ่นหอมของสหรัฐฯ หรือ American Jasmine
และข้าวหอมพันธุ์ ST 21 ของเวียดนาม เป็นต้น
อีกทั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวของไทยที่ผ่านมายังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
โดยที่ผ่านมาเป็นการเน้นเพิ่มปริมาณการผลิตมากกว่าการยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์หรือพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่
ๆ ให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ไทยยังประสบปัญหาด้านระบบงบประมาณในการวิจัย
แม้ไทยจะมีงานวิจัยสายพันธุ์ข้าวมากมาย
แต่ยังมีการติดปัญหาเรื่องงบประมาณและกำลังคนในการพัฒนาระบบวิจัย นอกจากนี้ ไทยยังประสบปัญหาด้านแรงงาน
สัดส่วนการผลิตของภาคเกษตรลดลงเป็นลําดับ และยังมีแนวโน้มลดลงต่อไป เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมและบริการมีมูลค่าเพิ่มสูงกว่า
ส่วนเวียดนามนั้นเขาปกครองด้วยระบบสังคมนิยม
ทำให้มีเสถียรภาพทางการเมืองสูง นักลงทุนมีความเชื่อมั่น และตั้งแต่ปี 2560 กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนามได้ยกเลิกกฎระเบียบหลายประการที่เห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาของอุตสาหกรรมข้าวเวียดนาม
และมีการร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ ในการนำเทคโนโลยีมาใช้กระบวนการผลิต มีการเน้นการรวมกลุ่มเกษตรกรในลักษณะ
Contract
Farming รวมทั้งให้ความสําคัญกับภาคการเกษตรโดยเฉพาะเรื่อง Food
Security
จากการวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์สินค้าข้าวไทยและสินค้าข้าวเวียดนาม
จะเห็นได้ว่าสินค้าข้าวเวียดนามสามารถเข้ามาตีตลาดสินค้าข้าวไทยได้ในเรื่องราคาข้าว
ปริมาณการผลิต รวมไปถึงการผลักดันจากรัฐบาล ในขณะที่สินค้าข้าวไทยสามารถแข่งขันกับสินค้าข้าวเวียดนามได้ในเรื่องของคุณภาพสินค้าข้าวซึ่งได้รับการยอมรับด้านคุณภาพในระดับสากล
อีกทั้งข้าวหอมมะลิไทยขึ้นชื่อระดับโลกและเป็นที่ต้องการของตลาดโลก
หากเราสามารถนำจุดแข็งนี้มาใช้ในการวางแผนกลยุทธ์
ก็น่าจะเป็นประโยชน์มาก
นอกจากนี้
ประเด็นที่จำเป็นอื่นได้แก่การสนับสนุนให้มีการวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภาพข้าว มีนโยบายสนับสนุนนักลงทุนเพื่อมาลงทุนในการจำหน่ายสินค้าข้าว
รวมไปถึงควรปรับรูปแบบการผลิตไปเน้นการผลิตแบบเกษตรประณีต มีการผลิตข้าวที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล
และมุ่งตลาดเฉพาะ (Niche Market) บนพื้นฐานของการปรับปรุงประสิทธิภาพ
การผลิตโดยให้มีต้นทุนการผลิตลดลง ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น ทั้งจากการพัฒนาเมล็ดพันธุ์
พัฒนาแหล่งน้ำให้กระจายทั่วถึงด้วย
************************
*นักพัฒนาระบบราชการปฎิบัติการ
(นปร. รุ่นที่ 12) ปฏิบัติราชการ ณ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น