รูปแบบการดำเนินธุรกรรมทางการเงินด้วยนวัตกรรมใหม่หรือที่รู้จักกันในชื่อของ
FinTech (Financial Technology) กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหลายประเทศ
ด้วยบริการรูปแบบดังกล่าวกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคส่วนใหญ่
เนื่องจากช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการผ่านการใช้จ่ายได้อย่างรวดเร็วและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรม
ประเทศในภูมิภาคอาเซียนเป็นอีกกลุ่มประเทศที่กำลังได้รับการจับตาเนื่องจากศักยภาพการเติบโตในอุตสาหกรรมดังกล่าวที่สูง
โดยแต่ละประเทศมีทิศทางและแนวโน้มการเติบโตที่แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้
จากการวิเคราะห์และคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญด้านดังกล่าว ต่างยกให้ “เวียดนาม”
เป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพด้านดิจิทัล โดยเฉพาะด้านฟินเทคสตาร์ทอัพ
สถานการณ์ FinTech
ในประเทศเวียดนาม
ด้วยการขยายตัวของประชากรกลุ่มชนชั้นกลาง
การเพิ่มขึ้นของการใช้งานอินเตอร์เน็ต และจำนวนประชากรกว่า 100 ล้านคน ซึ่งมากกว่าร้อยละ 65 เป็นวัยหนุ่มสาวที่มีการศึกษาดี
มีทักษะและความเข้าใจด้านดิจิทัล ตลอดจนมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอย่างเต็มเปี่ยม
ทำให้เวียดนามกลายเป็นประเทศที่มีคุณสมบัติครบถ้วนในการก้าวขึ้นเป็นตลาดฟินเทคสำคัญของภูมิภาค
ข้อมูลของ Department
of Payments ธนาคารแห่งชาติเวียดนามระบุว่า อุตสาหกรรมการชำระเงินที่เติบโตอย่างรวดเร็วของเวียดนามนี้เกิดขึ้นพร้อม
ๆ กับการขยายตัวของรูปแบบการจ่ายเงินแบบไร้เงินสด (Cashless Payment) ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในปี 2562 เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี
2561โดยเฉพาะในส่วนของการทำธุรกรรมผ่านแอพพลิเคชั่นบนมือถือและกระเป๋าเงินดิจิทัล
ซึ่งขยายตัวกว่าร้อยละ 126 และร้อยละ 161 ตามลำดับ นอกจากนี้ รายงานของ Allied
Market Research เมื่อปี 2561 ยังได้คาดการณ์ด้วยว่าตลาดการชำระเงินผ่านมือถือของชาวเวียดนามจะมีมูลค่าสูงถึง
70,937 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2568 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีระหว่างปี
2561 – 2568 อยู่ที่ร้อยละ 18.2
จากการที่ฟินเทคเข้ามามีบทบาทกับสังคมเวียดนามมากขึ้นเรื่อย
ๆ ทำให้เกิดการแข่งขันอย่างคึกคักระหว่างสตาร์ทอัพที่คิดค้นและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีทางด้านการเงิน
และส่งผลให้ระบบนิเวศของฟินเทคสตาร์ทอัพในเวียดนามขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบัน
มีบริษัทฟินเทคสตาร์ทอัพเกิดขึ้นกว่า 120 แห่ง ครอบคลุมบริการที่หลากหลาย ตั้งแต่การชำระเงินดิจิทัล
การเงินทางเลือก ไปจนถึงการบริหารความมั่งคั่งและบล็อกเชน
ท่ามกลางรูปแบบสตาร์ทอัพและแพลตฟอร์มจำนวนมากที่เกิดขึ้นนี้
การชำระเงิน (Payment) นับเป็นภาคธุรกิจฟินเทคที่เป็นที่นิยมมากที่สุด
บริษัทที่น่าจับตามองในแพลตฟอร์ม์นี้ ได้แก่ VNPay แพลตฟอร์มการชำระเงินผ่านคิวอาร์โค้ดที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม มีจุดชำระเงินกว่า
50,000 แห่งทั่วประเทศ และมีอัตราการเพิ่มขึ้นของการชำระเงินผ่าน
VNPay มากกว่ากว่าร้อยละ 30 ต่อปี MoMo แอพพลิเคชั่นชำระเงินบนมือถือ ก่อตั้งโดย M_Service
ซึ่งเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพฟินเทคที่ได้รับเม็ดเงินลงทุนสูงสุดในเวียดนาม
นอกจากนั้น ยังมี แอพพลิเคชั่นชำระเงินที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้บริการในเวียดนาม
อาทิ Moca, GrabPay และ Zalo Pay เป็นต้น รูปแบบบริการดังกล่าวจะเชื่อมกับบัตรชำระเงินของผู้ใช้บริการเพื่อชำระค่าบริการหรือสินค้าออนไลน์
เติมเงินมือถือ จ่ายค่าสาธารณูปโภค และอื่น ๆ ผ่านการโอนจ่ายเงินระหว่างบุคคล
การจ่ายผ่าน NFC และ/หรือคิวอาร์โค้ด
ส่วนที่เติบโตรองลงมาคือ
ระบบตลาดสินเชื่อออนไลน์ (Peer-to-peer (P2P) Lending) ซึ่งนับเป็นกลุ่มธุรกิจฟินเทคที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเวียดนาม
ด้วยจำนวนสตาร์ทอัพกว่า 20 บริษัท อาทิ Tima ตลาดทางการเงินของผู้บริโภคและแพลตฟอร์มตลาดสินเชื่อออนไลน์ Growth
Wealth แพลตฟอร์มตลาดสินเชื่อออนไลน์สำหรับกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม
และอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจฟินเทคที่กำลังมาแรงและเติบโตอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้แก่
บล็อกเชน (Blockchain) และคริปโตเคอเรนซี่ (Cryptocurrency)
นับตั้งแต่การเข้ามาของบิทคอยน์ในเวียดนามและการก่อตั้งบริษัทซื้อขายบิทคอยน์รายแรกของประเทศในปี
2557 ทำให้เกิดบริษัทรายใหม่ลงเล่นในธุรกิจดังกล่าวจำนวนมาก
เช่น TomoChain และ Kyber Network เป็นต้น
นอกจากแพลตฟอร์มยอดนิยมข้างต้น
เวียดนามยังมีกลุ่มฟินเทคอื่น ๆ จำนวนมาก อาทิ แพลตฟอร์มการวิเคราะห์การเงินเชิงเปรียบเทียบ
เช่น TheBank,
EbaoHiem เทคโนโลยีกลุ่มธุรกิจประกันหรืออินชัวร์เทค (Insurtech)
เช่น Papaya, Inso และ Wicare การบริการระบบขายหน้าร้าน (Point-of-Sale (POS)) เช่น
bePOS แพลตฟอร์มการบริหารความมั่งคั่ง เช่น Finsify แพลตฟอร์มดิจิทัลแบงค์กิ้ง (Digital Banking Platforms) เช่น Timo
และสตาร์ทอัพพิจารณาสินเชื่อ (Credit Scoring) เช่น TrustingSocial เป็นต้น
ปัจจัยหนุน FinTech Startup
ในเวียดนาม
ปัจจัยหลักที่กระตุ้นการขยายตัวของตลาดฟินเทคในเวียดนามมาจาก “พฤติกรรมของผู้บริโภค”
ที่ “กล้ารับสิ่งใหม่” กล่าวคือการเปลี่ยนรูปแบบการจับจ่ายใช้สอยจากเงินสดมาเป็นการชำระเงินออนไลน์ที่รวดเร็ว
ประหยัด และสะดวกสบายมากกว่า รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของการทำธุรกรรมการเงินแบบเร่งด่วน
การขยายตัวของการใช้งานอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์สมาร์ทโฟน การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซของประเทศ
ตลอดจนความพร้อมด้านทรัพยากรมนุษย์ในด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ
นอกจากนี้
ปรากฏการณ์ดังกล่าวยังเป็นแรงกระเพื่อมที่กระตุ้นให้รัฐบาลเวียดนามหันมาให้ความสำคัญและเร่งออกมาตรการและนโยบายเพื่อสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมการชำระเงินแบบไร้เงินสดมากขึ้น
ดังจะเห็นได้จากนโยบายที่รัฐบาลลงนามไปเมื่อเดือนมกราคม 2560 ซึ่งระบุเป้าหมายในการลดสัดส่วนการทำธุรกรรมเงินสดให้เหลือเพียงร้อยละ 10
และลดจำนวนการถือสมุดบัญชีธนาคารของประชาชนให้เหลือร้อยละ 70
ภายในปี 2563 ตลอดจนการจัดตั้งองค์กรด้านการสนับสนุนและพัฒนาสตาร์ทอัพ
หรือ Business Startup Support Center (BSSC) ซึ่งเป็นหน่วยงานสังกัดพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม
ภายใต้สหพันธ์เยาวชนแห่งชาติ มีหน้าที่สนับสนุนด้านความรู้ ให้คำปรึกษา
และช่วยเหลือเงินทุนในการขยายธุรกิจสตาร์อัพให้เติบโตและมีศักยภาพในการแข่งขันทั้งในเวียดนามและในภูมิภาคอาเซียน
ซึ่งในปี 2561 BSSC มีเครือข่ายในประเทศเวียดนามแล้วมากกว่า 1,000
องค์กร ทั้งที่เป็นหน่วยงานภาครัฐ มหาวิทยาลัย และหน่วยงานลงทุน อีกทั้งธนาคารแห่งชาติเวียดนามยังได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนฟินเทคเพื่อให้การสนับสนุนรัฐบาลในการสร้างและพัฒนาระบบนิเวศน์ของฟินเทคในประเทศด้วย
โดยภาพรวมพบว่า
รัฐบาลเวียดนามให้การสนับสนุนระบบนิเวศน์ของฟินเทคสตาร์ทอัพในแบบ Top Down ผ่านการออกนโยบายและโครงการสนับสนุนต่าง ๆ ซึ่งเน้นการดำเนินงานในลักษณะ Micro
Long Term การปรับมาตรการต่าง ๆ เพื่อดึงดูดบุคลากรสายเทคโนโลยีดิจิทัล
(Tech Talent) ชาวเวียดนามที่อยู่ในต่างประเทศให้หันมาเป็นผู้ประกอบการภายในประเทศมากขึ้น
การสนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยีในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและย่อม รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในระดับเมือง
อาทิ โครงการ Saigon Silicon Valley ซึ่งทั้งหมดนี้ ทำให้ธุรกิจฟินเทคสตาร์ทอัพในเวียดนามมีตลาดที่ชัดเจน
เฟื่องฟู และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ความท้าทายของธุรกิจ
FinTech
ในเวียดนาม
จากข้อมูลและแนวโน้มต่าง
ๆ ชี้ชัดว่าฟินเทคสตาร์ทอัพในเวียดนามกำลังเติบโตและขยายตัวอย่างมาก
ตลอดจนมีศักยภาพที่จะสามารถขยายสู่ระดับภูมิภาคได้ในอนาคต อย่างไรก็ดี
การดำเนินธุรกิจดังกล่าวยังมีความท้าทาย โดยสรุปได้ดังนี้
(1) ภาวะขาดแคลนการระดมทุน ทำให้สตาร์ทอัพขนาดกลางและย่อมบางรายไม่สามารถดำเนินกิจการหรือพัฒนาเทคโนโลยีต่อไปได้
(2) ความปลอดภัยในการดำเนินธุรกรรมทางการเงิน ภัยคุกคามทางไซเบอร์
และการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า
ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือของธุรกิจ
(3)
กระบวนการขอใบอนุญาตดำเนินธุรกิจด้านฟินเทคยังคงมีความซับซ้อนและใช้เวลานาน
(4) รัฐบาลยังขาดหน่วยงานสนับสนุนกลุ่มธุรกิจฟินเทคสตาร์ทอัพอย่างจริงจัง
รวมทั้งขาดแคลนบุคลากรที่มีความเข้าใจในระบบนิเวศน์ของธุรกิจดังกล่าว
(5) กรอบกฎหมายและแนวทางปฏิบัติของเวียดนามในปัจจุบันยังไม่ชัดเจนและไม่ครอบคลุมการพัฒนาและการเข้าถึงผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีใหม่
ๆ โดยในประเด็นนี้ มีนักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญหลายคนได้เสนอให้มีการจัดตั้งกรอบ
Regulatory Sandbox เพื่อให้บริษัทและสตาร์ทอัพด้านฟินเทคได้ใช้ทดสอบและพัฒนานวัตกรรม
ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งกรอบดังกล่าวยังจะช่วยให้รัฐบาลสามารถติดตามและกำกับดูแลเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่และสามารถพัฒนารูปแบบการกำกับดูแลของภาครัฐในอุตสาหกรรมดังกล่าวได้อีกด้วย
(6)
ความร่วมมืออย่างจริงจังจากภาคธนาคาร หลายภาคส่วนยังคงแสดงความกังวลต่อการเติบโตของบริษัทฟินเทค
โดยให้ความเห็นว่าการเพิ่มขึ้นของธุรกิจดังกล่าวอาจส่งผลกระทบในทางลบต่อภาคธนาคาร
อย่างไรก็ดี
จากการสำรวจล่าสุดของ Vietnam
Report เปิดเผยว่าทั้งธนาคารท้องถิ่นและบริษัทฟินเทคแสดงความพร้อมและยินดีที่จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมตลาดการชำระเงินแบบไร้เงินสดของเวียดนาม
เนื่องจาก สถิติการทำธุรกรรมการเงินภายในประเทศผ่านบัตรธนาคารในช่วงไตรมาสแรกของปี
2562 พบว่ามีอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.4
ในขณะที่การชำระเงินออนไลน์โตขึ้นกว่าร้อยละ 66
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชำระเงินบนมือถือซึ่งขยายตัวสูงถึงร้อยละ 97.7
โดยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 232 ตัวเลขดังกล่าวเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าธนาคารไม่สามารถหลีกเลี่ยงการปรับตัว
หากแต่ต้องจับมือกับผู้ประกอบธุรกิจฟินเทคในการพัฒนาและส่งเสริมสังคมไร้เงินสดอย่างจริงจัง
โอกาสและแนวทางสำหรับการดำเนินธุรกิจ
FinTech
ในเวียดนาม
จากศักยภาพด้านธุรกิจฟินเทคสตาร์ทอัพในเวียดนามนับเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยในการลงทุนและขยายธุรกิจมายังเวียดนาม
โดยเฉพาะการลงทุนในธุรกิจการชำระเงินดิจิทัล การซื้อของออนไลน์ การท่องเที่ยว
เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ รวมทั้งการลงทุนในธุรกิจการเงินส่วนบุคคลและนิติบุคคล
ตลอดจนด้านเทคโนโลยีการเกษตร ซึ่งยังมีความเป็นไปได้อีกมาก ไม่ว่าจะเป็น (1) โอกาสสำหรับ Venture Capital (VC) จากไทยในการเข้ามาร่วมลงทุนในตลาดฟินเทคสตาร์ทอัพเวียดนาม
(2) โอกาสสำหรับฟินเทคสตาร์ทอัพไทยในการขยายตลาดเข้ามาในเวียดนาม
(3) โอกาสของฟินเทคสตาร์ทอัพของไทยในการมาหา Venture
Capital (VC) ที่ประเทศเวียดนามซึ่งมีจำนวนและเงินทุนสนับสนุนเพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ ตามอัตราการขยายตัว (4) โอกาสของบริษัทเอกชนไทยทั้งขนาดกลางและใหญ่ในการจ้างแรงงานฝีมือ
โดยเฉพาะบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้าน IT ของเวียดนาม
เนื่องจากปัจจุบัน
เวียดนามมุ่งเน้นส่งเสริมการสร้างบุคลากรกลุ่มอาชีพดังกล่าวจำนวนมาก
ทำให้ตลาดแรงงานด้าน IT ของประเทศขยายตัวและเติบโตมากขึ้น และ
(5) โอกาสของแรงงานไทยที่มีความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัล
โดยเฉพาะในสาขาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเวียดนามมีอัตราตำแหน่งงานว่างในสาขาดังกล่าวเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ
20 อันเป็นผลมาจากการขยายตัวของธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม
สำหรับผู้ที่จะเข้าตลาดฟินเทคสตาร์ทอัพเวียดนามจำเป็นต้อง (1) ศึกษาบริบทของประเทศ เพื่อให้เข้าใจวัฒนธรรม สังคม และระบบการปกครอง
เพื่อให้การทำงานกับสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น (2) ทำความเข้าใจกฎระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงข้อห้ามและการสนับสนุนต่าง ๆ ที่มีโอกาสได้รับระหว่างดำเนินกิจการ
(3) ทำความเข้าใจการบริหารแรงงานชาวเวียดนาม ซึ่งมีทัศนคติ พฤติกรรม
และรูปแบบการทำงานที่อาจแตกต่างจากแรงงานไทย และ (4)
เข้าใจรูปแบบการดำเนินธุรกิจในประเทศเวียดนาม กล่าวคือ ในการเข้าถึงทรัพยากรใด ๆ
ในประเทศนั้น จำเป็นต้องผ่านการรับรองจากรัฐบาลเวียดนามซึ่งเป็นผู้ดูแลทรัพยากรทั้งหมดของประเทศ
นอกจากโอกาสของผู้ประกอบการธุรกิจแล้ว
ยังนับเป็นโอกาสของประเทศไทยที่จะสร้างความร่วมมือทางวิชาการและการวิจัยเพื่อร่วมพัฒนานวัตกรรมใหม่
ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง รวมไปถึงการส่งเสริมฟินเทคสตาร์ทอัพของทั้งสองประเทศให้สามารถเติบโตไปด้วยกัน
โดยใช้จุดเด่นของแต่ละประเทศเพื่อมุ่งสู่การขยายตลาดไปยังระดับภูมิภาคต่อไป ตลอดจนเพื่อเป็นการสร้างพันธมิตร/หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์เพื่อให้เกิดการเรียนรู้
แลกเปลี่ยน และนำไปสู่การปรับใช้เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมดังกล่าวของประเทศในอนาคต
**********************
*นักพัฒนาระบบราชการปฏิบัติการ
(นปร. รุ่นที่
12) สำนักงาน ก.พ.ร. ปฏิบัติราชการ ณ
สถานกงสุลใหญ่ นครโฮจิมินห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น