ประเทศญี่ปุ่นเป็นดินแดนที่มีเสน่ห์ในหลายด้าน
ไม่ว่าจะเป็นทิวทัศน์ วัฒนธรรม แฟชั่น หรือเทคโนโลยีที่ทันสมัย
ในปัจจุบันจึงมีคนไทยเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่นกว่า 1.1 ล้านคนต่อปี ส่วนใหญ่เป็นการเดินทางเพื่อวัตถุประสงค์ด้านการท่องเที่ยว
จับจ่ายใช้สอย และธุรกิจ แต่ท่านผู้อ่านเคยสังเกตหรือไม่ว่า
ถึงแม้จะเป็นประเทศที่เทคโนโลยีล้ำหน้าไปไกลแค่ไหน
แต่คนญี่ปุ่นก็ยังนิยมจับจ่ายใช้สอยโดยใช้เงินสด เราอาจจะได้เห็นคนที่ยืนนับเงินมูลค่าเป็นหมื่นเป็นแสนเพื่อซื้อของในห้างสรรพสินค้าโดยที่ไม่ถือเป็นเรื่องแปลกอะไร
และหากได้ทำความคุ้นเคยกับคนญี่ปุ่นมากขึ้น ก็จะพบว่าคนที่นี่ไม่นิยมใช้บัตรเครดิต
และแม้จะมีเทคโนโลยีอย่างบัตรแทนเงินสด (Pre-paid card เช่น Suica
PASMO) แต่นอกเหนือจากใช้จ่ายค่าขนส่งสาธารณะแล้ว คนญี่ปุ่นก็กลับไม่ใช้สำหรับจับจ่ายที่อื่นไปเสียอย่างนั้น
คำถามคือ ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?
ญี่ปุ่นมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกาและจีน
โดยมีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP สูงถึง 4.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (2017) โดยกว่า 20% ของ GDP เป็นธุรกรรมที่เกิดจากเงินสด
ซึ่งหากเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ ที่มีสัดส่วนธุรกรรมเงินสดนี้เพียง 2 – 3% หรือประเทศกำลังพัฒนาที่ประมาณ 5% ก็ถือว่าญี่ปุ่นใช้เงินสดเป็นสัดส่วนที่สูงมากเลยทีเดียว
และการพิมพ์เงินสดนี้เองก็เป็นต้นทุนที่สูงมากของ Bank of Japan ในการหมุนเวียนเงินตราในแต่ละปี
หากจะหาเหตุผลมาอธิบายว่าเหตุใดประเทศญี่ปุ่นจึงยังเป็นสังคมใช้เงินสดอยู่เช่นทุกวันนี้
ก็ต้องขอบอกผู้อ่านทุกท่านเลยว่า
แม้แต่รัฐบาลญี่ปุ่นเองก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนให้กับเรื่องนี้เช่นเดียวกัน และถึงแม้รัฐบาลจะพยายามผลักดันให้เกิดการใช้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้มากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แต่ก็ดูเหมือนจะยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม
จากการศึกษาทางวิชาการของแหล่งข้อมูลต่าง ๆ
ประกอบกับประสบการณ์และการสังเกตของผู้เขียน ซึ่งมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศญี่ปุ่น
ก็พอจะสรุปเหตุผลความเป็นไปได้ในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
ความสะดวก :
คนญี่ปุ่นมีความรู้สึกว่าการใช้จ่ายด้วยเงินสดเป็นเรื่องของความสะดวกและสามารถรับรู้เงินที่ตนเองใช้จ่ายได้ชัดเจน
เคยมีการสำรวจว่าเหตุใดคนญี่ปุ่นจึงไม่นิยมใช้ e-Payment หรือแอปพลิเคชันประเภท Mobile Banking/Mobile Payment ซึ่งผลการสำรวจส่วนใหญ่ได้รับเหตุผลว่า ผู้คนรู้สึกไม่สะดวกที่จะต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันก่อนแล้วค่อยนำมาใช้จ่ายเงิน
ยิ่งไปกว่านั้น คนญี่ปุ่นยังมีค่านิยมแบบดั้งเดิมที่มีความสุขกับการได้จับเงินสด
การเก็บเงินสดไว้ในบ้าน มากเสียยิ่งกว่าการนำไปฝากธนาคารหรือลงทุน
จนมีคำศัพท์เฉพาะสำหรับพฤติกรรมดังกล่าวว่า “Tansu Yokin” (箪笥預金) ซึ่งแปลตรงตัวว่า “บัญชีในตู้เสื้อผ้า” นั่นเอง
การเงินการธนาคาร : เป็นที่ทราบกันดีว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์ของญี่ปุ่นนั้นต่ำมาก ๆ
หรือจะพูดให้ถูกก็คือไม่มีดอกเบี้ยเลยเสียมากกว่า
คนญี่ปุ่นจึงรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะนำเงินไปฝากธนาคาร
สู้ถือเงินสดเก็บไว้กับตัวยังจะดีกว่า ทำให้ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา
ธนาคารพาณิชย์ของญี่ปุ่นไม่ค่อยมีบทบาทต่อลูกค้าในระดับบุคคลมากนัก
การตลาดของธนาคารต่าง ๆ จึงไม่ได้เจาะเป้าหมายไปที่ลูกค้าซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภค
หากจะให้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับธนาคารของไทยให้ผู้อ่านนึกภาพออกง่าย ๆ ก็คือว่า
ธนาคารที่ญี่ปุ่นไม่มีแคมเปญลดแลกแจกแถมจากการเปิดบัญชี สมัครบัตรเครดิต
หรือซื้อประกันภัย ดังนั้น เราจึงไม่ได้เห็นคนญี่ปุ่นจริงจังกับเรื่องการใช้บัตรเครดิตเท่ากับประเทศไทยหรือประเทศอื่น
ๆ ทั้งนี้ สำหรับธนาคารพาณิชย์ทั้งหลายนั้น
รายได้หลักของธนาคารที่จะได้จากฝั่งผู้บริโภคก็คงหนีไม่พ้นค่าธรรมเนียมที่ได้จากการรับฝาก-ถอน-โอนเงินสดผ่านเครื่อง
ATM
และการขึ้นเช็คเงินสดนั่นเอง
ความปลอดภัย :
ทุกคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าประเทศญี่ปุ่นนั้นมีความปลอดภัยมากเป็นอันดับต้น ๆ
ของโลก และเราคงเคยได้ยินข่าวว่าเวลามีคนทำของหายหรือเงินหาย ก็มักได้คืนอยู่เสมอ
ดังนั้น
คนญี่ปุ่นจึงรู้สึกสบายใจที่จะเดินไปไหนต่อไหนพร้อมเงินสดติดตัวจำนวนมากเพื่อจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน
จากที่ได้กล่าวมาข้างต้นเป็นเหตุผลคร่าว ๆ
ที่คนญี่ปุ่นยังนิยมใช้เงินสดมากกว่าพึ่งพาการเงินในระบบอิเล็กทรอนิกส์ อาจมีเหตุผลอื่น ๆ ประกอบอีก เช่น
ประเทศญี่ปุ่นประสบภัยพิบัติบ่อย จึงเกิดเหตุไฟฟ้าดับอยู่เป็นประจำ
ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าการใช้เงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์อาจไม่เสถียร อย่างไรก็ตาม
ยังไม่มีใครสามารถหาสาเหตุและแนวทางวิธีการปรับเปลี่ยนค่านิยมนี้ได้อย่างชัดเจน
จากสถานการณ์ด้านเทคโนโลยีของโลกที่เปลี่ยนไป
ประกอบกับต้นทุนมหาศาลในการหมุนเวียนเงินสด
รัฐบาลญี่ปุ่นเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อสภาวะดังกล่าว
และได้พยายามหามาตรการกระตุ้นให้ประชาชนหันมาทำธุรกรรมผ่านช่องทางเลือกอื่น ๆ
นอกเหนือจากการใช้เงินสดมากขึ้น โดยในเดือนตุลาคม 2562 นี้ รัฐบาลวางแผนจะขึ้นภาษีผู้บริโภคจาก 8% เป็น 10%
เพื่อจัดเก็บรายได้ให้ได้มากขึ้นสำหรับนำมาแก้ปัญหางบประมาณขาดดุลอย่างต่อเนื่องและภาระค่าใช้จ่ายของรัฐที่มากขึ้นในด้านสวัสดิการสังคม
การศึกษาปฐมวัยและผู้สูงอายุ รวมถึงภาระดอกเบี้ยจากหนี้สาธารณะ ทั้งนี้
รัฐจะใช้โอกาสนี้ในการออกมาตรการให้คนหันมาใช้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น
โดยผู้บริโภคจะได้รับเงินคืน 5%
จากการใช้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น
บัตรเครดิตและแอปพลิเคชันในโทรศัพท์มือถือ ในช่วงตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 ไปจนถึงเดือนสิงหาคม 2563 ที่โตเกียวจะเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก “Tokyo Olympic
2020” รัฐบาลเชื่อว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยเพื่อเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ
การท่องเที่ยว และจะเป็นการจูงใจและเปลี่ยนพฤติกรรมให้คนหันมาใช้จ่ายผ่านระบบที่ไม่ใช่เงินสดมากขึ้นเพื่อลดรายจ่ายสาธารณะภาพรวมในระยะยาว
ส่วนจะได้ผลหรือไม่ และส่งผลต่อสภาพสังคมของชาวญี่ปุ่นอย่างไร
คงเป็นเรื่องที่เราต้องติดตามกันต่อไป
จากกรณีตัวอย่างของประเทศญี่ปุ่น
ที่แม้ว่าจะมีภาพลักษณ์เป็นสังคมแห่งนวัตกรรมและความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเทคโนโลยีจะสามารถเข้ามามีบทบาทกับชีวิตของผู้คนในทุกด้านได้เสมอไป
เพราะอาจมีค่านิยมบางอย่างที่ Disruptive Technology ไม่สามารถเอาชนะได้ อย่างเช่นเทคโนโลยีด้านการเงิน
ที่ดูจะไม่ประสบความสำเร็จนักในการเปลี่ยนวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นกว่า 126 ล้านคน แต่สำหรับประเทศไทยที่สังคมดูจะตื่นตัวมากในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเกิดขึ้นของระบบพร้อมเพย์ (Promt-Pay) และการยกเลิกค่าธรรมเนียมธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของบรรดาธนาคารพาณิชย์
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว
และมีนโยบายทางการเงินหลายอย่างที่อยู่ระหว่างการศึกษาและรอการผลักดัน ดังนั้น
หากประเทศไทยต้องการจะเปลี่ยนเป็นสังคมไร้เงินสดตามหลาย ๆ
ประเทศที่ได้เดินหน้าไปแล้ว เช่น สวีเดน สหรัฐอเมริกา จีน เป็นต้น
ก็คงมีข้อท้าทายและข้อควรระวังที่ภาครัฐน่าจะต้องควบคุมดูแลและจับตามองอย่างใกล้ชิด
อาทิ
1) การเกิดขึ้นของธุรกิจออนไลน์และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง : การทำธุรกรรมที่สะดวกผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ทำให้เกิดธุรกิจออนไลน์ขึ้นมากมาย
รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น บริการขนส่ง (Delivery) เป็นต้น ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเกิดใหม่ที่รัฐต้องให้ทั้งการสนับสนุนและการควบคุม
รวมถึงมีกระบวนการตรวจสอบรายได้ของผู้ประกอบการที่มีประสิทธิภาพ
2) ความปลอดภัยของข้อมูล (Cyber Security) : ปัจจัยความสำเร็จอย่างหนึ่งของการทำธุรกรรมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ คือ
ต้องทำให้ผู้บริโภคเชื่อถือในความปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งประเด็นด้านความปลอดภัยนี้ไม่เพียงแต่สร้างความเชื่อมั่นในกลุ่มผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงิน
รวมทั้งความเชื่อมั่นจากนักธุรกิจและนักลงทุน
3) Digital
Literacy :
รัฐจะต้องจัดให้มีการสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องของธุรกรรมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างครอบคลุมและทั่วถึง
เพื่อให้ประชาชนมีความรู้เท่าทันภัยที่อาจเกิดขึ้น
และสามารถใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ อำนวยความสะดวก ยกระดับคุณภาพชีวิต
แต่หากปล่อยให้ประชาชนใช้งานได้อย่างอิสระโดยไม่มีความรู้
เทคโนโลยีอาจกลายเป็นโทษและเกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาได้
ในทางตรงกันข้ามกับสถานการณ์ข้างต้น
ในชีวิตประจำวันก็ยังมีหลายอย่างที่ทำให้คนไทยยังต้องจับจ่ายใช้สอยด้วยเงินสด
เนื่องจากสังคมไทยมีผู้ประกอบการรายย่อย ร้านค้า ร้านอาหาร
ที่ไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการใช้ระบบบัตรเครดิตหรือเครื่องมือต่าง ๆ
ได้ อีกทั้งเป็นวิถีชิต โดยเฉพาะในสังคมชนบท ที่ผู้คนยังให้คุณค่ากับการเก็บทรัพย์สินในรูปแบบของเงินสดมากกว่าใช้บริการสถาบันการเงิน
ซึ่งการจะปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตนั้นแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ทั้งนี้
หากจะคงสภาพสังคมเงินสดนี้ไว้ รัฐเองก็มีบางประเด็นที่ควรให้ความสนใจ อาทิ
1) การกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว : การมีช่องทางใช้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น บัตรเครดิต
และ Alipay
สำหรับนักท่องเที่ยวจีน เป็นต้น
ช่วยอำนวยความสะดวกในการจับจ่ายใช้สอยสำหรับนักท่องเที่ยวและลดความเสี่ยงที่จะต้องถือเงินสด
ร้านค้าที่มีช่องทางในการรับจ่ายเงินที่หลากหลายจึงมีโอกาสในการสร้างรายได้ที่มากกว่าร้านค้ารายย่อย
ซึ่งรัฐคงต้องเข้ามาดูแลและให้การสนับสนุนเพื่อให้เกิดการกระจายรายได้อย่างทั่วถึงและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน
2) การเฝ้าระวังการทุจริต : การใช้เงินสดเป็นช่องทางที่อาจเกิดการทุจริตได้ทั้งในภาครัฐและเอกชน
ซึ่งแต่ละองค์กรจะต้องหมั่นตรวจสอบดูแล ทั้งด้วยตัวระบบและตัวบุคคล
สำหรับประเทศญี่ปุ่นนั้น มีแนวทางวิธีการในการตรวจสอบและมีกฎหมายที่เข้มงวดรัดกุม
จึงไม่ค่อยเกิดปัญหาดังกล่าว
ทั้งนี้
ระหว่างที่ไทยยังอยู่ระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่านจากสังคมที่ทำธุรกรรมผ่านเงินสดแบบดั้งเดิมไปเป็นสังคมไร้เงินสดมากขึ้น
อาจมีปัญหาอุปสรรคเกิดขึ้นมากมาย ซึ่ง “รัฐ”
จะเป็นผู้เล่นหลักที่มีบทบาทในการตัดสินใจและผลักดันว่าไทยควรก้าวต่อไปเป็นสังคมไร้เงินสดหรือไม่
ถ้าหากพิจารณาแล้วว่าการก้าวไปสู่สังคมไร้เงินสดนั้นอาจไกลเกินไป
การยึดแนวทางอนุรักษ์นิยมแบบญี่ปุ่น ก็อาจไม่ใช่แนวทางที่เรียกว่าล้าสมัยเสมอไป
เพราะญี่ปุ่นได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการยึดถือค่านิยมแบบดั้งเดิมบางอย่างก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศ
เพราะที่ญี่ปุ่นมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลกอย่างทุกวันนี้
ส่วนหนึ่งก็มาจากธุรกรรมเงินสดนี่เอง
*************
*ข้าราชการในโครงการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่
รุ่นที่ 12
สำนักงาน ก.พ.ร. ปฏิบัติราชการ ณ สถานเอกอัครราชทูต ณ
กรุงโตเกียว
**แหล่งข้อมูลเพื่อศึกษาเพิ่มเติม:
World
Bank’s DataBank Nominal Data (2017)
Nikkei
Asia Review
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น