ก่อนที่จะต้องยุติบทบาทการเป็นนักร่างกฎหมาย
ผู้เขียนขอฝากเกร็ดการร่างกฎหมายเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้ให้นักร่างกฎหมายรุ่นต่อ ๆ
ไปได้ทราบกันไว้อีกสักเรื่องหนึ่ง
เผื่อเวลามีใครเขาถามจะได้อธิบายเหตุผลให้เขาฟังได้ ไม่ใช่ตอบว่าแบบหรือแนวทางการเขียนกฎหมายที่ลอก
ๆ กันสืบต่อมากันเพรื่อไป
เรื่องที่ว่านี้ก็คือความแตกต่างระหว่าง
“อนุมัติ” กับ “อนุญาต”
เหตุที่จะฝากเรื่องนี้ไว้เพราะไม่ใคร่จะมีใครใส่ใจเท่าไร
ฟังดูมันคล้าย ๆ กัน น่าจะแทนกันได้ เวลามีผู้ถามว่ามันเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไรจึงมักจะตอบเขาไม่ได้
เรื่องนี้เรื่องใหญ่นะครับเพราะมันเป็นกลไกสำคัญของกฎหมายทีเดียว
อันว่า “อนุมัติ”
นี่ที่มาจากคำว่า “อนฺมติ” (อะ-นุ-มะ-ติ) ในภาษาบาลีสันสฤตซึ่งแปลว่า รู้ตาม
หรือเห็นตาม ในการร่างกฎหมายจะใช้กับการยินยอมหรือเห็นชอบเรื่องที่ผู้น้อยเสนอ
ซึ่งผู้เสนอก็ได้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือหน่วยงานของรัฐอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของผู้มีอำนาจ
เช่น การดำเนินโครงการต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีก่อน
หรือต้องได้รับอนุมัติจากปลัดกระทรวงก่อน ในภาษาอังกฤษถ้าเป็นกริยาใช้ว่า approve
ถ้าเป็นคำนามใช้ว่า approval
อนุมัตินี้จะทำด้วยวาจาหรือเป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้แล้วแต่เรื่อง
สำหรับ
“อนุญาต” มีที่มาจากคำว่า “อนฺญฺญฺาต”
(อะ-นุน-ยา-ตะ) ในภาษาบาลีซึ่งแปลว่า ยอม ยินยอม หรือตกลง
ในภาษาไทยเราใช้ในความหมายที่ว่ายินยอมตามที่ผู้น้อยขอ เช่น นักเรียน (ผู้น้อย) ขออนุญาต
คุณครู (ผู้มีอำนาจควบคุมดูแลนักเรียน) ไปดื่มน้ำหรือไปปัสสาวะ คุณครูก็อนุญาตให้ ส่วนในการร่างกฎหมายจะใช้กับการที่ผู้มีอำนาจหรือสิทธิตามกฎหมายให้ความยินยอมแก่ผู้ขอ
เช่น มีผู้มาขออนุญาตก่อสร้าง ทางราชการอนุญาตให้ก่อสร้างได้ตามที่ขอ แม้ในระหว่างเอกชนก็ใช้
เช่น บริษัท ก. อนุญาตให้บริษัท ข. ผลิตสินค้าภายใต้สิทธิบัตรที่บริษัท ก.
เป็นเจ้าของ
ในภาษาอังกฤษ
การอนุญาตถ้าเป็นกริยาใช้ permit ถ้าเป็นคำนามใช้ว่า permission หากเป็นการอนุญาตโดยที่ผู้มีอำนาจหรือมีสิทธิตามกฎหมายออกเอกสารแสดงการอนุญาตหรือที่เรียกว่า
“ใบอนุญาต” ไว้ให้เป็นหลักฐานด้วย ก็ใช้คำว่า license
ไม่ว่าอย่างไร
อนุมัติกับอนุญาต นั้นมีลักษณะที่เหมือนกันประการหนึ่ง คือ
ผู้มีอำนาจอนุมัติหรืออนุญาตนั้นมี “ดุลพินิจ”
ที่จะอนุมัติอนุญาตหรือไม่ก็ได้
และการใช้ดุลพินิจนี้เองเป็นช่องทางให้ผู้มีอำนาจใช้อำนาจในทางที่ไม่ชอบด้วยเหตุผลขึ้นได้
มาตรา 77
ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันจึงได้กำหนดไว้ชัดเจนว่าการใช้ระบบอนุมัติอนุญาตในกฎหมายต้องกระทำเพียงเท่าที่จำเป็น
และต้องกำหนดหลักเกณฑ์การใช้ดุลพินิจไว้ให้ชัดเจนด้วย
ส่วนระบบทะเบียน
(Registration) นั้นแตกต่างจากระบบอนุมัติอนุญาต
เพราะเป็นระบบที่ผู้ประสงค์จะการทำการตามที่กำหนดต้องให้ข้อมูลบางอย่างแก่รัฐเพื่อประโยชน์ในการกำกับดูแลหรือบริหารจัดการ
เช่น ทะเบียนพาณิชย์ ทะเบียนอาวุธปืน ในทางเอกชนก็ใช้ระบบทะเบียนเพื่อประโยชน์ในการดำเนินงานเหมือนกัน
เช่น ทะเบียนผู้เข้าร่วมกิจกรรมวิ่งการกุศล ทะเบียนผู้ป่วย
ปัญหาต่อมาของระบบทะเบียนก็คือ
จะ “ลง” ทะเบียนหรือ “ขึ้น” ทะเบียนดี อันนี้แล้วแต่เรื่องนะครับ
แต่ไม่ใช่ว่าจะใช้อย่างไรก็ได้ตามที่สบายใจ ถ้าเป็นการเอาเข้าไปไว้ในทะเบียน
ก็ใช้ “ขึ้น” ทะเบียน เช่น ขึ้นทะเบียนนักศึกษา ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน
ขึ้นทะเบียนทหาร แต่ถ้าเป็นการจดเป็นหลักฐาน เขาใช้ “ลง” ทะเบียน
เช่น ลงทะเบียนเรียน เรื่องนี้ภาษาไทยแท้ ๆ นะครับ ไม่ใช่หลักกฎหมายอันใด
และมักมีผู้สงสัยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้เสมอ จะได้ตอบเขาให้ถูก
สีข้างจะได้ไม่แดง
แถมพกเรื่องใบรับรอง
(Certificate) ให้ด้วยก็แล้วกัน
ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ใบรับรองนี้เขาใช้กับการรับรองคุณลักษณะ
(Characteristics) ของบุคคล สิ่งของ สถานที่ หรือองค์กรนะครับ
เช่น ใบรับรองการตรวจสอบ ใบรับรองว่าผ่านการฝึกอบรม
ใบรับรองจึงต่างจากใบอนุญาตนะครับ คนละเรื่องกันเลย
ฝากไว้เพียงเท่านี้แหละครับ
**********
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น