เป็นที่ยอมรับกันว่ าการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั ้นเป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ทั้งยังเป็นที่ยอมรับกันด้วยว่ าอำนาจอธิปไตยนั้นเป็นของปวงชน ดังนั้น ผู้เขียนจึงเชื่อโดยสุจริตว่ าการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั ้นประชาชน "เป็นใหญ่อยู่แล้ว" โดยตัวของระบบเอง
เมื่อประชาชนเป็นใหญ่ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยจึง ต้องยึดประชาชนเป็น "ศูนย์กลาง" เสมอ หรือที่เรียกกันโก้ ๆ เพื่อให้ได้ฟีลลิ่งแบบฝรั่งว่า People centre นั่นแหละ
อย่างไรก็ดี ประชาชนนั้นมีจำนวนมากและมี ความหลากหลาย การยึดประชาชนเป็นศูนย์ กลางเขาจึงถือหลักเสียงข้ างมากของประชาชนเป็นเกณฑ์ว่ าจะเดินไปในทิศทางใด แต่โดยที่ประชาชนล้วนเป็นเจ้ าของอำนาจอธิปไตย การดำเนินการตามเสียงข้างมากจึ งต้องคำนึงถึงความต้องการหรื อความเห็นของเสียงข้างน้อยด้วย ลักษณะเช่นนี้เองที่ทำให้ "การมีส่วนร่วมของประชาชน" เป็น "แก่น" ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพราะการมีส่วนร่ วมของประชาชนเป็นกระบวนการที่ จะทำให้ผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ และผู้ใช้อำนาจบริหารทราบว่าเสี ยงส่วนใหญ่ของประชาชนเขาต้ องการอะไร ดังนั้น ประชาธิปไตยจึงเป็นการปกครองที่ ประชาชนต้องมีส่วนร่วมเสมอ การที่นักวิชาการบางท่านแบ่ งประชาธิปไตยออกเป็นแบบมีส่วนร่ วมกับแบบไม่มีส่วนร่วมนั้น ผู้เขียนจึงไม่เห็นพ้องด้วย
อนึ่ง การที่ต้องรับฟังความคิดเห็ นของประชาชนเสมอเป็นพื้นฐานทึ่ ทำให้เกิดหลักคิดสำคัญต่อไปว่ าการปกครองในระบบนี้ต้องวางอยู่ บนพื้นฐานของ "เหตุผล" ที่มีการถกแถลงของประชาชนว่าฝ่ ายใดมีเหตุผลดีกว่ากัน และต่างฝ่ายต่างต้องยอมรั บในเหตุผลของฝ่ายอื่นด้วยบนพื้ นฐานที่ว่าทุกคนในสังคมมี ความเป็นมนุษย์โดยเท่าเทียมกัน แต่ทั้งนี้ เหตุผลที่ว่านี้ต้องไม่เป็ นกระทบกระเทือนต่อความเป็นอยู่ ของรัฐ ตลอดจนความสงบเรียบร้อยหรือศี ลธรรมอันดีของประชาชนด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ตัวระบอบประชาธิปไตยเองจึงเรี ยกร้องให้ประชาชนต้องเป็นผู้มี "วุฒิภาวะ" หากประชาชนไร้ซึ่งวุฒิภาวะ ระบอบประชาธิปไตยจะไม่ สามารถทำหน้าที่ของมันได้เลย และจะทำลายตัวเองในที่สุด ดังจะเห็นได้ในหลายประเทศที่ ประชาชนซึ่งขาดวุฒิภาวะและไร้ เหตุผลลุกฮือขึ้นเรียกร้องสิ่ งที่เรียกว่าประชาธิปไตยโดยไม่ ทราบว่าประชาธิปไตยคืออะไร มีการใช้กำลังเข้าเข่นฆ่าล่าสั งหารกันอย่างน่าสมเพช
สำหรับประเทศไทย ผู้เขียนมีความเห็นโดยส่วนตัวว่ าเรายอมรับว่าประชาชนเป็นใหญ่ อยู่แล้ว ดังจะเห็นได้จากบทบัญัติของรั ฐธรรมนูญทุกฉบับที่บัญญัติสืบต่ อกันมาโดยตลอดว่าอำนาจอธิ ปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย แต่สิ่งที่ผู้เขียนเห็นว่ายั งขาดหายไปคือการมีส่วนร่ วมของประชาชน ประเด็นของผู้เขียนคือ เราไม่จำเป็นต้องทำให้ ประชาชนเป็นใหญ่อีก เพราะใหญ่กว่านี้ไม่มีอีกแล้ว แต่ที่ยังขาดอยู่คือจะทำให้ ประชาชนมีส่วนร่ วมในการปกครองประเทศอย่างแท้จริ งได้อย่างไร??
หลายปีมาแล้วที่เราเห็นว่าจำเป็ นต้องสร้างองค์กรที่เป็ นของภาคประชาชนขึ้นเพื่อประกั นว่าประชาชนจะได้มีพื้นที่ ในการตรวจสอบ ติดตาม เร่งรัดการใช้อำนาจขององค์กรผู้ ใช้อำนาจอธิปไตย
ในทัศนะของผู้เขียน การกำหนดให้มีองค์ กรตรวจสอบภาคประชาชนเช่นว่านี้ เป็นเพียง "ทางเลือกหนึ่ง" ที่จะทำให้ประชาชนเข้าไปมีส่ วนร่วมในการตรวจสอบ ติดตาม เร่งรัดการใช้อำนาจขององค์กรผู้ ใช้อำนาจอธิปไตย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทางเลือกนี้ได้ก่อให้เกิด "คำถาม" ตามมามากมายว่าองค์กรที่ตั้งขึ้ นมาเหล่านี้ปฏิบัติหน้าที่ได้ ตามที่มุ่งหมายไว้หรือไม่? เราได้ "คนดี" มาทำหน้าที่นี้แทนประชาชนจริ งหรือไม่? เพราะคนดีนี่มันแล้วแต่ว่าคนดี ของใคร (ซึ่งในทางตำราเรียกให้ยากว่ าเป็นเรื่องอัตวิสัย) ต้นทุนที่ใช้ในการจัดตั้งและบริ หารจัดการองค์กรเหล่านี้คุ้มค่ ากับผลผลิตและผลลัพธ์ที่ได้หรื อไม่? ใครจะเป็นผู้กำกับ ติดตาม และประเมินผลการปฏิบัติ งานขององค์กรเหล่านี้? หากองค์กรเหล่านี้ไม่สามารถปฏิ บัติหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ ตามที่คาดหมายไว้ หรือใช้อำนาจหน้าที่โดยบิดเบือน จะจัดการองค์กรเหล่านี้อย่างไร?
ผู้เขียนจึงขอเสนอ "ทางเลือก" ที่จะทำให้ประชาชนมีส่วนร่ วมในการใช้อำนาจอธิปไตยโดยไม่ต้ องลงทุนสร้างองค์กรมหัศจรรย์ใด ๆ ขึ้นใหม่ต่อท่านผู้อ่าน โดยผู้เขียนเห็นว่า หากเราต้องการให้ประชาชนมีส่ วนร่วมในการบริหารราชการแผ่นดิน สิ่งสำคัญที่สุดน่าจะได้แก่ การเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ "เข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ" ที่เป็นพื้นฐานและหลั กฐานในการบริหารราชการแผ่นดิ นและการใช้จ่ายเงินของแผ่นดิ นให้มากที่สุดและสะดวกทึ่สุด โดยให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานต่ าง ๆ ที่ใช้เงินแผ่นดินต้องเปิดเผยข้ อมูลที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ ายเงินของแผ่นดินต่อสาธารณะ ถ้าไม่ทำ ให้มีความผิดทางวินัย แพ่ง และอาญาด้วย
ประเทศเสรีประชาธิปไตยที่พั ฒนาแล้วเขาใช้วิธีการนี้อย่ างแพร่หลาย แต่เขาเรียกหลักการนี้ว่า Open government doctrine แม้กระทั่งสหภาพโซเวียตในอดีตก็ นำหลักการนี้ไปใช้ ท่านผู้อ่านที่เกิดทันปี 1985 คงเคยได้ยินนโยบาย "กลาสนอสท์" ของอดีตประธานาธิบดีกอร์บาชอฟ
ผู้เขียนเห็นว่ าหากประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมู ลต่าง ๆ เหล่านี้ได้ง่ายและสะดวก การมีส่วนร่วมในการเสนอแนะ การตรวจสอบติดตาม และการประเมินผลการบริ หารราชการแผ่นดินของประชาชนก็ จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่ต้องตั้งหน่วยงานอะไรขึ้ นมาอีกให้สิ้นเปลือง และไม่ต้องคิดระบบกำกับองค์ กรใหม่ ๆ ให้วุ่นวายสมอง ทั้งนี้ ผู้เขียนเห็นว่าข้อเสนอนี้ จะทำให้การบริหารราชการแผ่นดิ นมีความโปร่งใสในราคาประหยัด (Transparency at low cost) และไม่ซับซ้อน ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าใจได้
ที่สำคัญร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เขาก็บรรจุหลักการนี้ไว้ด้วยแล้ วในมาตราร้อยต้น ๆ แต่ไม่เห็นมีใครสนใจจะอภิปรายกั นเลยทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องของ "หลักการสำคัญ" ที่จะสร้างความโปร่งใสในการบริ หารราชการแผ่นดิน การป้องกันมิให้เกิดการทุจริ ตคอรัปชั่น และการลดความเหลื่อมล้ำอันเป็ นปัญหาสำคัญของสังคมไทย!
แปลกดีไหมขอรับ???
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น