วันพุธที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2557

มาตรา 181

นายปกรณ์ นิลประพันธ์[1]

                    เมื่อมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรนั้น มาตรา 181 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติว่าคณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่

                   บทบัญญัตินี้มีเจตนารมณ์ชัดเจนว่าไม่ต้องการให้เกิด “ช่องว่าง” ขึ้นในการบริหารราชการแผ่นดิน เพราะการบริหารราชการแผ่นดินต้องมีความต่อเนื่อง

                   แต่ทั้งนี้ก็ต้องเข้าใจว่าคณะรัฐมนตรีชุดที่พ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุยุบสภาและต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่นั้น เป็นเพียงการอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวหรือที่เรียกกันจนติดปาก (ซึ่งไม่ถูกต้อง) ว่า “คณะรัฐมนตรีรักษาการ”  (Caretaker role) เท่านั้น หาได้มีอำนาจเต็ม (Full accountability) เหมือนเมื่อก่อนยุบสภาไม่

                   ทั้งนี้เพราะเมื่อมีการยุบสภาแล้ว ก็จะต้องมีการเลือกตั้งเพื่อให้ได้มาซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ และจะเข้าสู่กระบวนการตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ หากปล่อยให้คณะรัฐมนตรีชุดที่พ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุยุบสภาและต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่สามารถใช้อำนาจเต็มได้ ก็อาจมีผลกระทบต่อความเที่ยงธรรมของการเลือกตั้ง หรืออาจมีการ “วางยา” คณะรัฐมนตรีที่จะตั้งขึ้นใหม่ขึ้นได้

                   ดังนั้น มาตรา 181 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงบัญญัติว่าคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุยุบสภาและต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่นั้นจะปฏิบัติหน้าที่ได้เพียง “เท่าที่จำเป็น” แถมยังกำหนด “เงื่อนไข” ในการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวนี้ไว้อีก 4 ประการด้วย ดังนี้
                   (1) ไม่กระทำการอันเป็นการใช้อำนาจแต่งตั้งหรือโยกย้ายข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ หรือพนักงานของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือให้บุคคลดังกล่าวพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่หรือพ้นจากตำแหน่ง หรือให้ผู้อื่นมาปฏิบัติหน้าที่แทน เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อน
                   (2) ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อน
                   (3) ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป
                   (4) ไม่ใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐเพื่อกระทำการใดซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้งและไม่กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามระเบียบที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด

                   เห็นได้ชัดว่าเงื่อนไขต่าง ๆ ตามมาตรา 181 นั้นมีขึ้นเพื่อป้องกันมิให้คณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุยุบสภาและต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่นั้น ใช้อำนาจหน้าที่ในลักษณะที่อาจมีผลกระทบต่อผลการเลือกตั้ง หรือสร้างภาระผูกพันใด ๆ แก่คณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่

                   อย่างไรก็ดี การปฏิบัติหน้าที่ตาม (1) (2) และ (4) นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติไว้ชัดเจนว่าต้องขอความเห็นชอบหรือต้องไม่ฝ่าฝืนข้อห้ามตามระเบียบที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนด แล้วแต่กรณี แต่กรณีตาม (3) นั้นรัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติว่าคณะรัฐมนตรีต้องขอความเห็นชอบจากใครหรือต้องปฏิบัติตามระเบียบใด ปัญหาที่ต้องพิจารณาก็คือ ใครจะเป็นคนบอกว่าการกระทำใดมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไปตามมาตรา 181 (3)

                   หากพิจารณาโดยปราศจากอคติ จะเห็นได้ว่าบทบัญญัติมาตรา 181 ตอนท้ายนั้นเป็นบทบัญญัติที่ว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุยุบสภาผู้แทนราษฎร และเมื่อรัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติว่าคณะรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีต้องขอความเห็นชอบในการกระทำจากใครหรือต้องปฏิบัติตามระเบียบใดซึ่งแตกต่างจากกรณีตามมาตรา 181 (1) (2) และ (4) คณะรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีจึงมีหน้าที่โดยปริยายที่จะต้องใช้ดุลพินิจวินิจฉัยเองว่าการกระทำใดมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป

                   เมื่อคณะรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีมีหน้าที่โดยปริยายที่จะต้องใช้ดุลพินิจวินิจฉัยว่าการกระทำใดมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป คณะรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีจึงต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเป็นกรณี ๆ ไป แต่เพื่อความสะดวกในการปฏิบัติงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ คณะรัฐมนตรีก็อาจกำหนดแนวปฏิบัติหรือกรอบการใช้ดุลพินิจในเรื่องดังกล่าวเพื่อให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันได้

                   แต่เมื่อใดก็ตามที่คณะรัฐมนตรีได้กำหนดแนวปฏิบัติหรือกรอบการใช้ดุลพินิจในเรื่องดังกล่าวเพื่อให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันแล้ว คณะรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ ก็ย่อมมีความผูกพันที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามแนวปฏิบัติหรือกรอบการใช้ดุลพินิจดังกล่าวด้วย อันเป็นไปตามหลักกฎหมายทั่วไปที่ว่าฝ่ายบริหารต้องผูกพันตามหลักเกณฑ์ที่ตนกำหนดขึ้น (Patere legem quam ipse fecisti)

                   อย่างไรก็ตาม หลักกฎหมายทั่วไปที่ว่าฝ่ายบริหารต้องผูกพันตามหลักเกณฑ์ที่ตนกำหนดขึ้นนั้น ก็มีข้อยกเว้นเช่นกัน โดยหากหากปรากฏต่อมาว่าแนวปฏิบัติหรือกรอบการใช้ดุลพินิจที่คณะรัฐมนตรีกำหนดขึ้นดังกล่าวก่อให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ หรืออาจทำให้เกิดความเสียหายแก่ผลประโยชน์ของชาติ (National interests) หรือประชาชน (Public benefits) คณะรัฐมนตรีก็มีความรับผิดชอบ (Accountability) ในผลประโยชน์ของชาติหรือประชาชน ที่จะต้องปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่ตนได้กำหนดขึ้นเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่ผลประโยชน์ของชาติ เช่น หากเดิมวางแนวปฏิบัติไว้เป็นการทั่วไปว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการตามกฎหมายใด ๆ ก็ตามมีผลเป็นการผูกพันคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการตามกฎหมายใดหากเนิ่นช้าไปอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผลประโยชน์ของชาติ คณะรัฐมนตรีย่อมมีความรับผิดชอบที่จะต้องปรับปรุงแนวปฏิบัติดังกล่าวเสียใหม่ โดยอาจกำหนดให้ต้องมีการเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาหากมีความจำเป็นอย่างยิ่งเป็นรายกรณี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องชี้แจงเหตุผลความจำเป็นโดยละเอียดมาเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย เป็นต้น

                   ทั้งนี้ ผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงเป็นลำดับแรกในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าคณะรัฐมนตรีนั้นจะมีอำนาจเต็ม (Full accountability) หรือเป็นเพียงคณะรัฐมนตรีที่ต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว (Caretaker role) ก็ตาม.




[1]กรรมการร่างกฎหมายประจำ (นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (2557) 

วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557

ช่วยปฏิรูปคณะกรรมการตามกฎหมายด้วย!

นายปกรณ์ นิลประพันธ์[1]

              ท่านผู้อ่านเคยสังเกตไหมครับว่าบทบัญญัติของกฎหมายไทยแทบทุกฉบับนั้นมีความคล้ายคลึงกันอยู่สี่ประการ
                   ประการที่หนึ่ง ต้องมีคณะกรรมการ
                  ประการที่สอง ใช้ระบบอนุมัติอนุญาต โดยประชาชนหรือผู้ประกอบการต้องได้รับอนุญาตหรือใบอนุญาตจากหน่วยงานของรัฐก่อนดำเนินการใด ๆ
                   ประการที่สาม ต้องมีการตั้งหน่วยงานขึ้นเพื่อรับผิดชอบกฎหมาย
                   ประการที่สี่ ต้องมีการลงโทษทางอาญา
                   นอกจากนี้ กฎหมายส่วนหนึ่งมักมีบทบัญญัติให้มีการตั้ง “กองทุน” ตามกฎหมายขึ้นเป็นการเฉพาะ

                หากพิจารณาอย่างผิวเผิน ความคล้ายคลึงดังกล่าวก็ดูจะไม่มีพิษสงอะไรนัก แต่หากพิจารณาในมุมของนักร่างกฎหมาย ความคล้ายคลึงสี่ซ้าห้าเรื่องนี้สร้างภาระแก่รัฐ เพิ่มต้นทุนแก่ประชาชนและผู้ประกอบการ เป็นช่องทางการทุจริต และทำให้ประชาชนไม่เชื่อมั่นในกฎหมาย

                   ทำไมละหรือ?

                   ก็ปัญหาอันเป็นเหตุให้ต้องมีการร่างกฎหมายขึ้นมาใช้บังคับแต่ละเรื่องนั้นมีที่มาและเนื้อหาสาระแตกต่างกัน ตรรกะดังกล่าวจึงแสดงให้เห็นว่าแต่ละเรื่องต้องใช้วิธีการจัดการกับปัญหาแตกต่างกันไป การออกแบบกฎหมายจึงต้องเหมาะสมกับสภาพของแต่ละเรื่อง (Trailer made) ไม่ใช่สักแต่ว่าลอกต่อ ๆ กันมาโดยไม่ลืมหูลืมตาเพื่อให้ “แบบ” ของกฎหมายนั้นอกมาเหมือน ๆ กัน

                   ผู้เขียนจะขอเริ่มด้วยเรื่อง “คณะกรรมการ” เป็นลำดับแรก

                   นักร่างกฎหมายทั่วโลกเขาแบ่งคณะกรรมการออกเป็น 2 ประเภท คือ Committee หรือ Board กับ Commission แต่ในภาษาไทยนั้นเรามีข้อจำกัดทางภาษาที่ทำให้เราต้องเรียกคณะกรรมการทั้งสองประเภทนี้โดยใช้คำรวมว่า “คณะกรรมการ”

                   คณะกรรมการที่เป็น Committee หรือ Board นั้นจะประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิมาประชุมร่วมกันเป็นครั้งคราวเพื่อกำหนดนโยบายในเรื่องที่เป็นสาระสำคัญของกฎหมายนั้นแล้วเสนอแนะฝ่ายบริหารเพื่อดำเนินการต่อไป รวมทั้งการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของการบังคับใช้กฎหมาย และเสนอแนะฝ่ายบริหารเพื่อปรับปรุงข้อบกพร่องต่าง ๆ ของกฎหมาย กรรมการประเภทนี้จึงมาแสดงความคิดเห็นแล้วไป ส่วนคนทำงานจริง ๆ คือฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการ ค่าตอบแทนของคณะกรรมการประเภทนี้จึงเป็นค่าตอบแทนครั้ง หรือจะจ่ายค่าตอบแทนเป็นรายเดือนก็ได้ แต่จะจ่ายค่าตอบแทนเฉพาะเดือนที่มีการประชุม

                   ส่วนคณะกรรมการที่เป็น Commission เป็นการรวบรวมเซียนเหนือเซียนในเรื่องนั้น ๆ มาประกอบเข้ากันและมอบหมายให้กรรมการประเภทนี้ (Commissioner) “ร่วมกัน” รับผิดชอบดำเนินการเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามที่กฎหมายกำหนด (Commission) เป็นการเฉพาะ โดยได้รับค่าตอบแทนสูง ๆ กรรมการประเภทนี้จึงต้อง “ทำงานเอง” ซึ่งจะทำงานเต็มเวลาหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่ที่แน่ ๆ คือต้องไม่เที่ยวไปจ้างหรือสั่งให้คนนู้นคนนี้ทำอะไรต่อมิอะไรให้ หรือ “รวบรวมและประสม” ผลงานของผู้อื่นเข้าด้วยกัน ปรับแก้เล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วยกมาเป็นผลงานของตนหรือของคณะกรรมการ โดยระหว่างนั้นตัวเองก็เดินทางไป “ดูงาน” รอบโลก และที่สำคัญคณะกรรมการประเภทนี้ต้องรับผิดชอบร่วมกัน จะทำเป็นโชว์เหนือหรือวันแมนโชว์ไม่ได้

                   ดังนั้น นักร่างกฎหมายทั่วโลกจึงถือเป็นหลักว่าถ้าปัญหาที่ต้องแก้ไขหรือดำเนินการตามกฎหมายเป็นงานปกติประจำ (routine) นั้นไม่จำเป็นต้องมีบทบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการการก็ได้ โดยกำหนดให้หัวหน้าหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นเป็นผู้ตัดสินใจโดยตรง

                   แต่ถ้าการแก้ไขปัญหาตามกฎหมายใด “จำเป็น” ต้องมีคณะกรรมการ ก็เลือกใช้คณะกรรมการให้เหมาะสมกับสภาพของเรื่อง โดยดูว่าจะให้คณะกรรมการนั้นทำอะไร ถ้าเป็นการกำหนดนโยบาย ต้องการระดมสมอง หรือต้องอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญแบบสหวิทยาการ (Interdisciplinary) เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการก็ใช้คณะกรรมการแบบ Committee หรือ Board แต่ถ้าต้องการคณะผู้เชี่ยวชาญแล้วละก็ ขอได้โปรดเรียกใช้บริการของคณะกรรมการแบบ Commission

                   อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของคณะกรรมการแบบ Committee หรือ Commission ต่างก็มีปัญหาในตัวเอง โดยคณะกรรมการแบบ Committee นั้นต้องมีกระบวนการแต่งตั้งกรรมการซึ่งใช้เวลานานพอสมควร และเมื่อจะจัดให้มีการประชุมก็ต้องมีการจัดระเบียบวาระการประชุม ออกหนังสือเชิญประชุม จัดสถานที่ประชุม ดำเนินการประชุม จัดทำบันทึกการประชุม รับรองบันทึกการประชุม จ่ายเบี้ยประชุม ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวต้องใช้ต้นทุนที่เป็นตัวเงินมิใช่น้อย ต้องใช้เจ้าหน้าที่หลายคนในการจัดทำเอกสาร ทั้งยังต้องใช้เวลาในการดำเนินการอีกด้วย และปัญหาสำคัญที่ทำให้การทำงานของคณะกรรมการแบบ Committee ล่าช้าก็คือกรณีที่กรรมการมาไม่ครบองค์ประชุม ส่วนเหตุล่าช้าสำหรับยุคนี้คงหนีไม่พ้นการที่สถานที่ประชุมถูกปิดล้อมหรือตัดน้ำตัดไฟ จนกรรมการมาประชุมกันไม่ได้นั่นเอง

                   เชื่อไหมครับว่าตำแหน่งบางตำแหน่ง เช่น ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เป็นต้นนั้น เป็นกรรมการในคณะกรรมการทั้งคณะกรรมการตามกฎหมายและคณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นตามระเบียบ คำสั่ง และมติคณะรัฐมนตรีจิปาถะสิริรวมกว่าร้อยคณะทีเดียว! แน่นอนว่าท่านคงไปประชุมเองครบทุกคณะไม่ได้ ก็ต้องมอบหมายให้ข้าราชการระดับรอง ๆ ลงไปเข้าร่วมประชุมแทน

                   ปัญหาที่เกิดขึ้นและเห็นชัด ๆ ในขณะนี้อันเนื่องมาจากการใช้คณะกรรมการแบบ Committee นั้น ได้แก่การพ้นจากตำแหน่งตามวาระของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และอยู่ระหว่างกระบวนการเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ ต่อมามีการยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ประกอบกับคณะรัฐมนตรีมีมติให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติ โดยมิให้เสนอแต่งตั้งคณะกรรมการตามกฎหมายเนื่องจากเป็นการดำเนินการที่มีผลผูกพันคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ขณะที่มีโครงการที่ผ่านเกณฑ์ที่จะอนุมัติให้ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (หรือจะได้รับอนุมัติแน่ ๆ) มูลค่าถึงกว่าสี่แสนล้านบาท เพียงแต่ไม่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการมาอนุมัติอันสืบเนื่องมาจากมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเท่านั้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติโดยตรง

                   ส่วนปัญหาของคณะกรรมการประเภท Commission นั้น เนื่องจากเป็นการรวบรวมมือชั้นครูในเรื่องนั้น ๆ มาประกอบเข้ากัน กรรมการประเภทนี้จึงมีกระบวนการคัดเลือกและสรรหาที่ยืดยาว เพื่อให้ได้คนเก่งและดีมาทำหน้าที่นี้ ซึ่งคนเก่งและดีนี้มีลักษณะภววิสัย (Subjective) กล่าวคือเก่งและดีในสายตาของใคร ประกอบภารกิจที่จะมอบหมาย (Commission) ให้คณะกรรมการประเภทนี้ทำนั้นจะเป็นเรื่องทางเทคนิคมาก ๆ และอาจมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องสูง จึงเป็นเหตุให้มีการโต้แย้งกระบวนการคัดเลือกและสรรหา Commissioner ต่าง ๆ จนกลายเป็น “ของคู่กัน” จนทำให้การได้มาซึ่งกรรมการประเภทนี้เป็นไปอย่างล่าช้า

                   นอกจากนี้ โดยที่คณะกรรมการประเภท Commission ได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจเฉพาะ คณะกรรมการประเภทนี้จึงต้อง “ทำงานเอง” มิใช่ไปจ้างใครต่อใครทำอะไรให้ หรือไม่ก็มอบเจ้าหน้าที่เป็นคนทำแล้วนำมาปรับแต่งให้เป็น “ผลงาน” ของคณะกรรมการ ทั้งที่ผลงานหลักที่ทำจริง ๆ ก็คือการเดินทางไปดูงานหรือประชุมรอบโลก

                   กล่าวเฉพาะเรื่องคณะกรรมการนี้ ประเทศไทยเราออกจะแปลกกว่าประเทศอื่นอยู่ไม่น้อย คือเราให้ความสำคัญกับกระบวนการแต่งตั้ง หรือกระบวนการคัดเลือกและสรรหาคณะกรรมการ แล้วแต่กรณี มากกว่าการให้ความสำคัญแก่ “ความเป็นอิสระ” (Independence) “ความเป็นกลาง” (Impartiality) “ความโปร่งใส” (Transparency) และ “ความรับผิดชอบ” (Accountability) ในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการไม่ว่าจะเป็นประเภทใด ทั้งที่ การแต่งตั้งหรือการคัดเลือกและสรรหานั้นเป็นเพียง “จุดเริ่มต้น” ในการเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ของบุคคลต่าง ๆ ในฐานะกรรมการเท่านั้น

                   ดังนั้น ในยุคที่มีการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศขนานใหญ่ ผู้เขียนจึงขอฝากไว้ในอ้อมใจของผู้ผลักดันการปฏิรูปทุกฝ่ายเพื่อให้มีการพิจารณาทบทวนการนำระบบคณะกรรมการมาใช้ในกฎหมายอย่างจริงจังด้วย.




[1]กรรมการร่างกฎหมายประจำ (นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (2557