วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

“เรื่องแบบนี้ต้องเริ่มต้นที่บ้าน” ปกรณ์ นิลประพันธ์

เมื่อวานเดินไปซื้อของกินในซอยแถวบ้าน สังเกตว่ามีรถจักรยานยนต์ขับขี่สวนเลนจำนวนมากและเกือบทั้งหมดไม่สวมหมวกนิรภัย ส่วนใหญ่หน้าตายังเป็นวัยรุ่นอยู่ เด็กราวสิบสองสิบสามก็มี แถมยังมีอีกห้าหกคนคุยโทรศัพท์มือถือขณะขับขี่ด้วย

มานั่งนึก ๆ ดูก็รู้สึกว่านับวันยิ่งเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ท่านผู้อ่านจะรู้สึกอย่างเดียวกับผู้เขียนหรือเปล่า

ผู้เขียนเห็นว่าพฤติการณ์ทั้งหมดนี้มีกฎหมายเกี่ยวข้องทั้งสิ้น และเป็นกฎหมายที่ทุกคนก็น่าจะรู้กันอยู่ ไม่ว่าต้องขับขี่ตามเลน ไม่สวนเลน ต้องสวมหมวกนิรภัย ต้องมีใบขับขี่ ไม่ใช้โทรศัพท์มือถือในเวลาขับขี่ ยิ่งมอเตอร์ไซค์ยิ่งไม่ควรขับไปโทรศัพท์ไปอย่างยิ่ง เพราะต้องใช้มือสองข้างควบคุมรถ

ปรากฎการณ์นี้ทำให้ผู้เขียนในฐานะนักกฎหมายมีความกังวลใจไม่น้อย ที่กังวลก็เพราะว่าบ้านเมืองเรามีตรอกซอกซอยมากมาย นี่ซอยเดียวยังเจอคนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเยอะขนาดนี้ รวมกันเข้าทุกตรอกทุกซอยมันจะมากมายก่ายกองขนาดไหน ยิ่งเป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ด้วยยิ่งเป็นห่วง เพราะเป็นอนาคตของบ้านเมือง

แต่แปลกนะ เวลาถกกันเรื่องนี้ทีไร คนส่วนใหญ่ก็จะโยนความผิดไปให้เจ้าหน้าที่ก่อนว่าไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ปล่อยปละละเลย บางทีเกิดเหตุต่อหน้ายังเฉย ทีฉันทำบ้างละมาจับ 

ผู้เขียนยอมรับว่านั่นก็คงมีส่วนหนึ่งละ แต่ส่วนใหญ่ผู้เขียนเห็นว่าเรื่องพรรณอย่างนี้มันเกิดจากการที่คนเราละเมิดกฎหมายโดยเจตนาเสียมากกว่า

ใครบ้างล่ะที่ขี่มอเตอร์ไซค์เป็นแต่ไม่รู้ว่าต้องขับขี่ตามเลน ตามเครื่องหมายจราจร ไม่สวนทาง ต้องใส่หมวกนิรภัย ยิ่งคุยโทรศัพท์ขณะขับขี่นี่ไม่รู้จริงหรือว่าเขาห้ามทำ

ถ้าปฏิบัติตามกฎหมายเสีย ปัญหาก็ไม่เกิด ไม่ต้องให้เจ้าหน้าที่ไปไล่ตามจับให้วุ่นวาย ไม่ต้องเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ให้เป็นภาระแก่งบประมาณ ที่บ้านอื่นเมืองอื่นเขาสงบเรียบร้อยน่าอยู่เพราะทุกคนทราบดีว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคมส่วนรวม ไม่ใช่ทำอะไรตามใจฉัน

แพะตัวต่อมาคงไม่พ้นระบบการศึกษาการศึกษาไม่ดี สอนเด็กไม่ได้ ว่าเข้าไปนั่น 

แพะใหญ่หน่อยก็เป็นรัฐบาล คนไม่เชื่อมั่นเลยละเมิดกฎหมาย เอ๊ะมันเกี่ยวกันยังไง

ส่วนแพะที่จะงงที่สุดคงจะเป็นรัฐธรรมนูญ บ้านเราเอะอะต้องแก้รัฐธรรมนูญเป็นปฐม นัยว่าแก้แล้วจะหาย แก้ได้ทุกอย่าง เหมือนยาสารพัดนึก 

สรุปคือโทษ “คนอื่น” ไว้ก่อนเสมอ 

จะว่าไปนะ ถ้าทุกคนมีสำนึกที่จะไม่ทำให้คนอื่นเขาต้องมาเดือดร้อนในสิ่งที่ตัวเองทำ เพียงเท่านี้บ้านเมืองเราก็จะอยู่กันอย่างสงบสุขแล้ว เริ่มต้นที่ทำตามกฎจราจรนี่แหละใกล้ตัวสุดแล้ว

อีกเรื่องที่อยากชวนให้เลิกก็คือ เลิกใช้ประทุษวาจาในโซเชียลกันเสียที อันนี้ยิ่งมายิ่งดุเดือด ไม่ว่าในวงการไหน ใช้อารมณ์ด่าทอกันล้วนๆ ทั้งที่ไม่รู้จักมักจี่กัน  จะว่าเป็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นก็ไม่ใช่ เพราะตามตำรากฎหมายทั้งหลายในโลกนี้ เขาก็ล้วนไม่ยอมรับการแสดงความคิดเห็นที่ล่วงเกินสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีของผู้อื่น ยิ่งทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นในสังคมนี่ยิ่งไม่ได้เลย แต่บ้านเรากลับทำเรื่องนี้กันอย่างเมามัน เป็นอะไรกันไปหมดแล้วก็ไม่ทราบ

ผู้เขียนว่าเรื่องแบบนี้ต้องเริ่มแก้ที่บ้าน ที่ครอบครัวครับ ไม่ต้องไปหาแพะหาแกะที่ไหนให้วุ่นวายหรอก แถมไม่ต้องไปล้อบบี้ฝรั่งมังค่าที่ไหนให้เข้ามาจุ้นจ้านในกิจการบ้านเมืองของเราด้วย 

ช่วยกันลงมือทำนะครับ

สังคมดี เริ่มต้นที่ตัวเราครับ

2 ความคิดเห็น:

  1. Definitely true. It has to start at home first, then continuing in school and also at the temple, if going. People always find a scapegoat to blame do they don’t have to take the action or redpodibility. Let start at home today Na krup.

    ตอบลบ
  2. "ที่บ้านอื่นเมืองอื่นเขาสงบเรียบร้อยน่าอยู่เพราะทุกคนทราบดีว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคมส่วนรวม ไม่ใช่ทำอะไรตามใจฉัน" อีกมุมมองหนึ่งนะครับ บ้านเมืองอื่นเค้าปฏิบัติตามกฎหมายเพราะทราบดีว่าการฝ่าฝืนกฎหมายมีโอกาสได้รับโทษสูงมากกว่ารอด ไม่เหมือนบ้านเราที่หลีกเลี่ยงได้แทบจะตลอดเวลา ใครหลบเลี่ยงกฎหมายได้แสดงว่าใหญ่จริง เด็กๆเป็นแบบไหนก็สะท้อนว่าผู้ใหญ่ในสังคมก็เป็นแบบนั้นหละครับ และผู้ใหญ่ก็จะพูดว่ารณรงค์ให้เด็กๆ...ฯลฯ พร้อมทั้งวลีเด็ด "เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า" แทนที่จะรณรงค์การทำในสิ่งที่ถูงต้องเป็นตัวอย่างให้เด็กวันนี้ดู เพื่อให้พวกเค้าโต้เป็นผู้ใหญ่ที่ดีในวันหน้า..ด้วยความเคารพครับ.

    ตอบลบ