ในช่วงนี้มีการถกเถียงกันหน้าดำหน้าแดงทั้งระหว่างนักกฎหมายด้วยกัน
และระหว่างนักกฎหมายกับนักอะไรต่าง ๆ มากมายว่าการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 2
กุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมานั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
โดยต่างฝ่ายต่างก็อ้างตัวบทกฎหมายมาตรานั้นมาตรานี้ขึ้นมาอ้างเพื่อสนับสนุนความคิดเห็นของตนอย่างสนุกสนาน
บางครั้งอ้างมาตราเดียวกันแต่พูดไปคนละทางก็มี จนประชาชีสับสนไปหมดแล้ว
แต่สำหรับบทความนี้
ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงเฉพาะตรรกะ (Logic) ของการเลือกตั้งในทางวิชาการเท่านั้น
เพราะเห็นว่าอำนาจในการวินิจฉัยว่าการเลือกตั้งชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้นอยู่ในอำนาจหน้าที่ขององค์กรตามกฎหมายแล้ว
การจะเข้าไปชี้ชัด ๆ จึงอาจไม่เหมาะสม และรับรองว่าจะไม่อ้างตัวบทกฎหมายใดให้ท่านผู้อ่านสับสนมากขึ้นไปอีก
การเลือกตั้ง (Election) ในทางวิชาการถือเป็นวิธีการหนึ่งที่นิยมใช้กันทั่วโลกทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อให้ได้มาซึ่ง
“ผู้แทน” ที่ “ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง” ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากเห็นว่ามีความเหมาะสมที่สุด
เพื่อให้ผู้แทนนั้นไปทำหน้าที่บางอย่างบางประการแทนหรือในนามของผู้มีสิทธิเลือกตั้งต่อไป
สำหรับนักกฎหมาย
ธรรมชาติของการเลือกตั้งดังกล่าวข้างต้นดูออกจะคล้ายคลึงกับวิธีการแต่งตั้งตัวแทน (Agent) ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อยู่มาก เพียงแต่ว่าวิธีการตั้งตัวแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น
ตัวการสามารถแต่งตั้งใครก็ได้ที่ตนเห็นว่ามีความเหมาะสมขึ้นเป็นตัวแทนของตน ขณะที่วิธีการเลือกตั้งนั้นจะเปิดโอกาสให้บุคคลต่าง
ๆ ที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดเข้ามาสมัครเข้ามาเป็น “ผู้สมัครรับเลือกตั้ง” เพื่อให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งแต่ละคนได้พิจารณาความเหมาะสมของบรรดาผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งหมด
และแสดงเจตนาเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใดคนหนึ่งที่ตนสมควรเพื่อเป็นผู้แทนของตน
และโดยที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก การตัดสินว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใดจะได้รับเลือกเป็นผู้แทนนั้นตามหลักสากลจึงถือเสียงข้างมากของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
“ซึ่งมาใช้สิทธิเลือกตั้ง” เป็นเกณฑ์
เพราะหากมีสิทธิเลือกตั้งแล้วไม่มาใช้สิทธิก็เท่ากับว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นยอมรับผลที่จะเกิดขึ้นจากการเลือกตั้งโดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งมาใช้สิทธิของเขา
เมื่อเป็นเช่นนี้
ทั้งผู้มีสิทธิเลือกตั้งและผู้สมัครรับเลือกตั้งจึงมีความสำคัญต่อวิธีการเลือกตั้งเป็นอย่างยิ่ง
สำคัญอย่างไร?
สำหรับผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้น
จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะต้องมีโอกาสได้ “รับรู้” ข้อมูลที่เป็นจริงและเพียงพอเกี่ยวกับตัวตน
ความรู้ความสามารถ ความประพฤฒิ ตลอดจนคุณธรรมและจริยธรรมของผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกรายโดยละเอียด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบาย แนวคิดหรือสิ่งที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งแต่ละรายจะนำไปปฏิบัติในฐานะที่เป็นผู้แทนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในกรณีที่ตนได้รับเลือกเป็นผู้แทนของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
หากผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่มีโอกาสที่จะได้เข้าถึงหรือรับรู้ข้อมูลดังกล่าว
การตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งอาจเบี่ยงเบนหรือผิดพลาดไปได้ ดังนั้น ในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง
ผู้จัดให้มีการเลือกตั้งจึงต้องคำนึงว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถเข้าถึงและรับรู้ข้อมูลที่เป็นจริงและเพียงพอเกี่ยวกับผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกรายหรือไม่
นอกจากนี้ โดยที่ธรรมชาติของการใช้สิทธิเลือกตั้งนั้นเป็นการแสดงเจตจำนงเสรี
(Free will) ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ไม่ว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะไปใช้สิทธิเลือกตั้งหรือไม่ หรือหากไปใช้สิทธิเลือกตั้งแล้วจะเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งรายใด
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจึงต้องมีอิสระอย่างสมบูรณ์ที่จะใช้หรือไม่ใช้สิทธิของตนโดยปราศจากการขัดขวาง
รบกวน หรือครอบงำโดยบุคคลอื่น ดังนั้น บรรดาการกระทำใด
ๆ ที่กระทบหรืออาจส่งผลกระทบต่อการแสดงเจตจำนงเสรีของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ไม่ว่าจะเป็นการขัดขวาง ข่มขู่ คุกคาม ให้หรือสัญญาว่าจะให้สิ่งจูงใจ ฯลฯ รวมทั้งการเปิดเผยผลการเลือกตั้งของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
จึงขัดต่อหลักการสำคัญของวิธีการเลือกตั้งทั้งสิ้น เพราะจะทำให้ผลการเลือกตั้งเบี่ยงเบนไป
ดังนั้น ในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง
ผู้จัดให้มีการเลือกตั้งจึงต้องคำนึงว่ามีการกระทำใด ๆ ที่กระทบหรืออาจส่งผลกระทบต่อการแสดงเจตจำนงเสรีของผู้มีสิทธิเลือกตั้งดังกล่าวข้างต้นหรือไม่
กล่าวถึงผู้สมัครรับเลือกตั้ง
ผู้สมัครรับเลือกตั้งนั้นต้องแสดงข้อมูลที่เป็นจริงเกี่ยวกับตัวตน ความรู้ความสามารถ
ความประพฤฒิ ตลอดจนคุณธรรมและจริยธรรมของตน รวมทั้งต้องมีโอกาสอย่างเหมาะสมและเพียงพอที่จะแสดงนโยบาย
แนวคิดหรือสิ่งที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งแต่ละรายจะนำไปปฏิบัติหากได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งพิจารณาอย่างทั่วถึง
โดยผู้สมัครแต่ละรายต้องมีโอกาสดังกล่าวเท่าเทียมกันในการดำเนินการดังกล่าวเพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างกันด้วย
ทั้งนี้ การแสดงนโยบาย
แนวคิดหรือสิ่งที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งแต่ละรายจะนำไปปฏิบัติหากได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้น
จะต้องมุ่งไปในการเสนอนโยบาย แนวคิดหรือสิ่งที่ตนจะนำไปปฏิบัติเท่านั้น และต้องไม่เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือแสดงทัศนะที่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง
(Hate speech) ต่อผู้สมัครรับเลือกตั้งรายอื่น เพราะเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมายและศีลธรรมอันดี
ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงระดับคุณธรรมและจริยธรรมของผู้สมัครรับเลือกตั้งรายนั้น ดังนั้น ในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง
ผู้จัดให้มีการเลือกตั้งจึงต้องคำนึงว่ามีการกระทำใด ๆ ที่กระทบหรืออาจส่งผลกระทบต่อผู้สมัครรับเลือกตั้งดังกล่าวข้างต้นหรือไม่
ในทัศนะของผู้เขียน
การเลือกตั้งใดที่ไม่สอดคล้องกับตรรกะดังกล่าวมาแล้วข้างต้นย่อมมีกระทบต่อ “ผลของการเลือกตั้ง”
โดยตรงและอาจถูกโต้แย้งได้ ส่วนจะเป็นโมฆะหรือไม่ ไม่ทราบครับ.
[1]กรรมการร่างกฎหมายประจำ
(นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (2557) อนึ่ง บทความนี้เป็นความบทความทางวิชาการของผู้เขียน
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น