คำแปล
หลักการเกี่ยวกับสถานะของหน่วยงานระดับชาติ[1]
โดยนางณัฏฐณิชา เลอฟิลิแบร์ต[2]
อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ
1. ให้หน่วยงานระดับชาติ[3] มีอำนาจหน้าที่ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
2. ให้หน่วยงานระดับชาติมีอำนาจอย่างกว้างเท่าที่จะเป็นไปได้ตามที่บัญญัติไว้อย่างชัดเจนในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายที่กำหนดองค์ประกอบและขอบเขตอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานระดับชาติ
3. ให้หน่วยงานระดับชาติมีบรรดาความรับผิดชอบ ดังต่อไปนี้
(เอ) เสนอความเห็น คำแนะนำ
ข้อเสนอ และรายงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่อรัฐบาล รัฐสภา
และหน่วยงานอื่นที่มีอำนาจ บนพื้นฐานของการให้คำแนะนำ ไม่ว่าตามคำร้องขอของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
หรือตามผลการพิจารณาของหน่วยงานระดับชาติที่ต้องสามารถดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องอาศัยองค์กรอื่น
และหน่วยงานระดับชาติมีอำนาจตัดสินใจที่จะเผยแพร่บรรดาความเห็น คำแนะนำ ข้อเสนอ
และรายงานเหล่านั้นได้ และหน่วยงานระดับชาติต้องมีอำนาจในกรณีดังต่อไปนี้ด้วย
(i) กรณีบทบัญญัติแห่งกฎหมายหรือคำสั่งทางปกครองใด ๆ รวมถึงบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับองค์การตุลาการที่มุ่งรักษาและให้ความคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
โดยหน่วยงานระดับชาติต้องพิจารณาบทบัญญัติแห่งกฎหมายหรือคำสั่งทางปกครองใดที่มีผลบังคับใช้
รวมถึงร่างพระราชบัญญัติและข้อเสนอเกี่ยวกับคำสั่งทางปกครองดังกล่าว
และให้คำแนะนำตามที่เห็นสมควรเพื่อประกันว่าบทบัญญัติหรือคำสั่งเหล่านั้นสอดคล้องกับหลักการพื้นฐานสำคัญของสิทธิมนุษยชน
และในกรณีที่จำเป็น ให้หน่วยงานระดับชาติให้คำแนะนำให้มีการตรากฎหมายขึ้นใหม่ หรือให้มีการแก้ไขกฎหมายที่ใช้บังคับแล้ว
รวมทั้งการมีคำสั่งทางปกครองใหม่หรือแก้ไขคำสั่งทางปกครองที่ใช้อยู่
(ii) กรณีที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่หน่วยงานระดับชาติเห็นควรพิจารณาดำเนินการ
(iii) กรณีการจัดทำรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของชาติ ทั้งสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วไป
และเฉพาะเรื่อง
(iv) สร้างความตระหนักแก่รัฐบาลเกี่ยวกับสถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศและมีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลเพื่อยุติสถานการณ์ดังกล่าว
และหากจำเป็น อาจต้องแสดงความเห็นต่อจุดยืนและปฏิกิริยาของรัฐบาล
(บี)
ส่งเสริมและทำให้เกิดความมั่นใจว่ากฎหมาย กฎ ระเบียบ และการปฏิบัติต่าง ๆ
ของประเทศสอดคล้องกับความตกลงด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ประเทศนั้นเป็นภาคี
และมีการปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ
(ซี) สนับสนุนการให้มีการให้สัตยาบันความตกลงด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ประเทศนั้นเป็นภาคี
หรือการภาคยานุวัติความตกลงเหล่านั้น และติดตามว่ามีการปฏิบัติตามความตกลงดังกล่าว
(ดี) มีส่วนร่วมในรายงานต่าง ๆ ที่รัฐต้องรายงานต่อหน่วยงานและคณะกรรมาธิการของสหประชาชาติและหน่วยงานระดับภูมิภาค
และตามพันธกรณีในหนังสือสัญญา และให้เสนอความเห็นที่จำเป็นในเรื่องดังกล่าวอย่างอิสระ
(อี) ร่วมมือกับสหประชาชาติและหน่วยงานของสหประชาชาติ
หน่วยงานระดับภูมิภาค และหน่วยงานระดับชาติของประเทศอื่นที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
(เอฟ) ช่วยเหลือในการกำหนดโปรแกรมการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน
และมีส่วนร่วมในการดำเนินการในแวดวงโรงเรียน มหาวิทยาลัย และวิชาชีพ
(จี)
ให้ความรู้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและความพยายามในการกำจัดการเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ
โดยการเพิ่มความตระหนักให้แก่สาธารณชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผ่านข้อมูลข่าวสารและการศึกษา
และสื่อต่าง ๆ
องค์ประกอบและหลักประกันความเป็นอิสระและความแตกต่างหลากหลาย
1. องค์ประกอบของหน่วยงานระดับชาติและการแต่งตั้งสมาชิก
ไม่ว่าจะโดยการเลือกตั้งหรือวิธีอื่นใด ต้องสอดคล้องกับกระบวนการที่สามารถประกันได้ว่าจะได้สมาชิกที่มีความแตกต่างหลากหลายทางพลังสังคม
(ของสังคมพลเรือน) บรรดาที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของผู้แทนจากแวดวง ดังต่อไปนี้
(เอ) NGOs ที่ดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนและการต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ สมาคมการค้า
องค์กรทางสังคมและวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง เช่น วิชาชีพนักกฎหมาย แพทย์ สื่อสารมวลชน และนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง
(บี) นักคิดทางปรัชญาหรือศาสนา
(ซี) มหาวิทยาลัยและผู้ทรงคุณวุฒิ
(ดี) รัฐสภา
(อี) หน่วยงานของรัฐ (หากมีผู้แทนกลุ่มนี้
ผู้แทนกลุ่มนี้ควรมีส่วนร่วมเฉพาะการพิจารณาข้อเสนอแนะเท่านั้น)
2. หน่วยงานระดับชาติต้องมีโครงสร้างที่เหมาะสมต่อการดำเนินงานต่าง
ๆ ให้เป็นไปโดยราบรื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีงบประมาณที่เพียงพอที่จะจ้างเจ้าหน้าที่และจัดหาสถานที่เพื่อประกันความเป็นอิสระจากรัฐบาล
และไม่อยู่ภายใต้บังคับการควบคุมทางการเงินที่อาจส่งผลต่อความเป็นอิสระ
3. เพื่อประกันว่าสมาชิกของหน่วยงานระดับชาติจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามอาณัติที่ได้รับมอบหมายอย่างมั่นคง
ซึ่งหากปราศจากหลักประกันนั้นแล้วจะไม่มีความเป็นอิสระที่แท้จริง
การแต่งตั้งสมาชิกต้องดำเนินการอย่างเป็นทางการและภายในระยะเวลาที่ชัดเจน ทั้งนี้ ระยะเวลาดังกล่าวอาจขยายออกไปได้หากเป็นไปเพื่อให้ได้สมาชิกที่มีความแตกต่างหลากหลายอย่างแท้จริง
วิธีดำเนินงาน
หน่วยงานระดับชาติต้องมีวิธีดำเนินงานดังนี้
(เอ) พิจารณาเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่อย่างเสรี
ไม่ว่าเป็นเรื่องที่เสนอโดยรัฐบาล หรือเป็นเรื่องที่หน่วยงานระดับชาติยกขึ้นมาพิจารณาเองโดยไม่ต้องอาศัยองค์กรอื่น
และไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่สมาชิกยกขึ้นหรือเป็นเรื่องที่มีการร้องเรียนเข้ามา
(บี) รับฟังบุคคลใด ๆ
และรับข้อมูลและเอกสารใด ๆ ที่จำเป็นต่อการประเมินสถานการณ์ที่อยู่ภายในอำนาจหน้าที่
(ซี) แสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะโดยตรง
หรือโดยผ่านสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแสดงความคิดเห็นและคำแนะนำต่อสาธารณะ
(ดี) ประชุมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอและเมื่อใดก็ตามที่จำเป็นต่อการปรากฏตัวของสมาชิกทั้งหมดเมื่อมีการเรียกประชุมอย่างเป็นทางการ
(อี) ตั้งคณะทำงานจากสมาชิกในกรณีที่จำเป็น
และจัดตั้งส่วนงานในท้องถิ่นหรือในภูมิภาคเพื่อช่วยปฏิบัติหน้าที่
(เอฟ) หารือกับหน่วยงานอื่น
ไม่ว่าจะเป็นองค์กรตุลาการหรือหน่วยงานอื่นใด ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
(โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ไกล่เกลี่ย และหน่วยงานอื่นในทำนองเดียวกัน)
(จี) ร่วมมือกับ NGOs ที่ทำงานด้านการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
การต่อสู้กับการเหยียดชาติพันธุ์ การคุ้มครองกลุ่มผู้ด้อยโอกาส (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เด็ก แรงงานอพยพ ผู้ลี้ภัย ผู้พิการทางสมอง) หรือด้านเฉพาะอย่างอื่น เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานระดับชาติ
หลักการเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานะของคณะกรรมการที่มีอำนาจกึ่งตุลาการ
หน่วยงานระดับชาติอาจได้รับอำนาจให้ดำเนินกระบวนวิธีพิจารณาการร้องเรียนและร้องทุกข์เกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของปัจเจกบุคคล
โดยคดีอาจเข้าสู่การกระบวนวิธีพิจารณาดังกล่าวโดยบุคคลธรรมดา ตัวแทน บุคคลที่สาม NGOs สมาคมการค้า หรือตัวแทนขององค์การอื่น ในกรณีเช่นนั้นและโดยไม่ขัดต่อหลักการข้างต้นเกี่ยวกับอำนาจอื่นของคณะกรรมการ
การดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายอาจต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักการดังต่อไปนี้
(เอ) ดำเนินการระงับข้อพิพาทอย่างเป็นฉันท์มิตร
โดยการไกล่เกลี่ย หรือการวินิจฉัยที่มีผลผูกพันตามที่กฎหมายบัญญัติ บนพื้นฐานการรักษาความลับในกรณีที่จำเป็น
(บี) แจ้งให้ผู้ร้องทราบเกี่ยวกับสิทธิของตน
โดยเฉพาะการเยียวยาที่บุคคลดังกล่าวอาจได้รับ และดำเนินการให้เขาได้รับการเยียวยาดังกล่าว
(ซี) ดำเนินกระบวนการพิจารณาคำร้องเรียนหรือร้องทุกข์
หรือส่งคำร้องเรียนหรือร้องทุกข์ นั้นไปยังหน่วยงานอื่นที่มีอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติ
(ดี) เสนอแนะหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่
โดยเฉพาะ การเสนอให้ปรับปรุงแก้ไขหรือการปฏิรูปกฎหมาย กฎ และมาตรการทางปกครอง ในกรณีที่กฎหมาย
กฎ หรือมาตรการทางปกครองดังกล่าวเป็นอุปสรรคในการร้องทุกข์เพื่อให้มีการดำเนินการให้เป็นไปตามสิทธิของบุคคล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น