วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ร่วมคิดเพื่อปฏิรูป อปท. โดย นายปกรณ์ นิลประพันธ์

รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเปลี่ยนแปลงหลักการเกี่ยวกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ไปมากมาย ไม่ใช่เพียงแค่กระจายอำนาจแต่มุ่งเป้าไปที่การพัฒนาชุมชนและท้องถิ่นให้เข้มแข็ง จะได้เป็นเรี่ยวแรงพัฒนาชาติ” 
เหตุที่เปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับ อปท. เป็นเช่นนี้ก็เพราะคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญหรือ กรธ. ไม่ได้คิดว่า อปท. เป็นเรื่องของ "การปกครอง" แต่เป็นเรื่อง "การบริหารจัดการท้องถิ่นโดยผู้คนในท้องถิ่นนั้นเอง"

เหตุที่คิดเช่นนี้ก็เพราะเชื่อว่าคนในท้องถิ่นย่อมรักท้องถิ่นของตัวเอง เชื่อว่าไม่มีใครต้องการให้บ้านของตัวเองหายนะ แต่เชื่อว่าคนในแต่ละท้องถิ่นล้วนต้องการให้ท้องถิ่นของตนเองมีความเจริญ  และไม่ใช่เจริญแบบฉาบฉวย หรือแบบที่เหมือน กับบ้านอื่นเมืองอื่น หากเป็นการเจริญอย่างมีอัตลักษณ์ เจริญอย่างยั่งยืน มีรากฐานการพัฒนาที่ดีเพื่อลูกหลานของคนในท้องถิ่นในอนาคต จะได้ไม่ต้องอพยพย้ายถิ่นไปทำมาหากินที่อื่นจนละเลยถิ่นฐานรากเหง้าของตนเอง ทั้งต้องต่อเนื่องเชื่อมโยงกับ อปท. อื่น ๆ และสอดคล้องกับการพัฒนาประเทศในภาพรวมด้วย 

เมื่อเป็นเช่นนี้ กรธ. จึงเห็นว่าแนวทางการบริหารจัดการ อปท. ไม่ใช่การมุ่งเน้นไปที่การปกครองอันเป็นเรื่องของการใช้อำนาจ แต่เน้น "การมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนในท้องถิ่น" 

หลักการสำคัญที่วางไว้ก็คือ อปท. จะทำกิจใด ก็ต้องรับฟังความคิดเห็นของคนในท้องถิ่นประกอบด้วย มีการคิดหน้าคิดหลังให้รอบคอบ มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจอย่างเพียงพอและรอบด้าน ไม่ใช่ทำตามแต่เฉพาะนโยบายหรือความคิดของท่านนายก อปท. เหมือนเคย   ซึ่งทั้งหลายทั้งมวลนี้เป็นหลักการพื้นฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

ที่สำคัญ อปท. ต้องมีอิสระในการดำเนินการ ไม่ใช่ต้องทำตามคำสั่งของส่วนกลางหรือตามคำสั่งหรือหนังสือสั่งการของอค์กรกำกับดูแล อปท. ทุกเรื่อง เพราะหากเป็นเช่นนั้น อปท. ก็คงเป็นเพียงกลไกของราชการที่อยู่ในท้องถิ่นเท่านั้น รัฐธรรมนูญจึงบัญญัติว่าการกำกับดูแล อปท. พึงกระทำเพียงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และโดยที่ อปท. แต่ละท้องถิ่นมีอัตลักษณ์แตกต่างกัน มีบริบทแตกต่างกัน การกำกับดูแล อปท. โดยใช้หลักการเดียวกันทั้งประเทศหรือ one size fits all จึงไม่เหมาะสมอีกต่อไป

การให้ อปท. มีความเป็นอิสระในการบริหารจัดการนั้น รัฐต้องเป็นพี่เลี้ยงในการพัฒนาให้ อปท. มีความเข้มแข็งในด้านต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเงินการคลังและการงบประมาณ ในระหว่างที่ อปท. ยังไม่เข้มแข็งจนหารายได้ได้มากพอที่จะใช้จ่ายในการบริหารจัดการตนเอง รัฐต้องสนับสนุนงบประมาณให้แก่ อปท

แต่ที่สำคัญ อปท. เองต้องไม่คอยแต่งบประมาณจากรัฐ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ยากที่ อปท. จะมีความเป็นอิสระในการบริหารจัดการท้องถิ่นได้เอง เพราะต้องใช้จ่ายเงินตามวัตถุประสงค์ที่ได้รับจากรัฐ ซึ่งนั่นไม่ต่างจากหน่วยงานของรัฐเลย 

นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญ 2560 ยังได้เพิ่มบทบาทของ อปท. ไว้เพิ่มขึ้นกว่าเดิม โดยได้เพิ่มบทบาทในการจัดทำกิจการอันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ” ขึ้นจากเดิมที่กำหนดให้จัดทำบริการสาธารณะอย่างเดียว ทั้งในหมวดสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย หมวดหน้าที่ของรัฐ และหมวดแนวนโยบายแห่งรัฐ ก็ยังมีการกำหนดภารกิจของ อปท. แทรกไว้ด้วย

ในช่วงนี้มีข้อเสนอให้ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น และกฎหมายจัดตั้ง อปท. อยู่มาก แต่ทั้งหมดก็เป็นขัอเสนอจากส่วนราชการหรือองค์กรอิสระที่มุ่งเน้นในเรื่องที่เกี่ยวกับการกำกับดูแล อปท. กับการได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น แต่ยังไม่มีข้อเสนอที่เกี่ยวกับการพัฒนา อปท. ให้เป็นการบริหารจัดการท้องถิ่นโดยผู้คนในท้องถิ่นนั้นเองที่มีความเป็นอิสระตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญเลย

ดังนั้น ผู้เขียนจึงเห็นว่าไหน ๆ ก็จะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายแล้ว สมควรที่ อปท. ทั้งหลายจะได้ร่วมกันมีข้อเสนอแนะในการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ อปท. เป็นการบริหารจัดการท้องถิ่นโดยผู้คนในท้องถิ่นนั้นเองที่มีความเป็นอิสระตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญได้อย่างแท้จริงไปเสียในคราวเดียวกันด้วย เพื่อให้บรรลุเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ต้องการให้ชุมชนและท้องถิ่นเข้มแข็ง จะได้เป็นเรี่ยวแรงพัฒนาชาติได้อย่างแท้จริง เพราะคงไม่มีใครที่รู้เรื่องนี้ดีไปกว่า อปท. เอง

ฝากไว้ท้ายนี้นิดนึงว่าอย่าทำแบบ one size fits all อีกล่ะ.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น