ในยุค Disruptive
Technology เช่นนี้ การทำธุรกิจหรือกิจการแบบเดิม ๆ ดังเช่นที่ทำ ๆ
กันมาหลายสิบปีเห็นทีจะไปต่อได้ยาก การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
มิฉะนั้นจะย่ำแย่ไปตาม ๆ กัน
ไม่ใช่ภาคเอกชนเท่านั้นที่ต้องปรับตัวให้เร็ว
ภาครัฐเองก็ต้องปรับตัวให้เร็วไปพร้อม ๆ กันด้วย เพราะรัฐมีหน้าที่พัฒนาและส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของชาติให้มีความรู้และทักษะเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว
รวมทั้งมีหน้าที่ส่งเสริม สนับสนุน อำนวยความสะดวก และกำกับดูแลการประกอบธุรกิจของภาคเอกชน
ถ้าภาคเอกชนไปเร็วแต่ภาครัฐยังยึดติดอยู่กับวิธีคิดและวิธีทำงานแบบเดิม
ๆ ประเทศในภาพรวมก็ยากที่จะเดินต่อไปได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น
หรือถ้าไปเร็วแบบไม่คิดหน้าคิดหลังให้รอบคอบ การเดินไปข้างหน้าก็จะไม่ยั่งยืน
และกลายเป็นภาระแก่ลูกหลานในอนาคต
ด้วยเหตุนี้ มาตรา
54 ของรัฐธรรมนูญ จึงให้ความสำคัญแก่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นอย่างมาก โดยกำหนดให้เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องพัฒนามนุษย์ให้เป็นคนดี
มีวินัย ภูมิใจในชาติ และสามารถเชี่ยวชาญได้ตามความถนัดของตน เพื่อให้ลูกไทยหลานไทยมีคุณลักษณะของมนุษย์ในศตวรรษที่
21 คือ ใฝ่รู้ มีความสามารถในการทำงาน มีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นซึ่งแตกต่างได้อย่างเข้าอกเข้าใจ
นอกจากนี้ มาตรา
258 ข. ยังได้กำหนดให้ต้องมีการดำเนินการดังต่อไปนี้ด้วยเพื่อให้ภาครัฐสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว
สามารถเดินคู่ขนานไปพร้อมกับภาคเอกชนได้อย่างรวดเร็ว
·
นำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินและการจัดทำบริการสาธารณะ
เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดิน และเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน
·
บูรณาการฐานข้อมูลของหน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงานเข้าด้วยกัน
เพื่อให้เป็นระบบข้อมูลเพื่อการบริหารราชการแผ่นดินและการบริการประชาชน
·
ปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างและระบบการบริหารงานของรัฐและแผนกำลังคนภาครัฐให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่
ๆ
โดยต้องดำเนินการให้เหมาะสมกับภารกิจของหน่วยงานของรัฐแต่ละหน่วยงานที่แตกต่างกัน
·
ปรับปรุงและพัฒนาการบริหารงานบุคคลภาครัฐเพื่อจูงใจให้ผู้มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงเข้ามาทำงานในหน่วยงานของรัฐ
และสามารถเจริญก้าวหน้าได้ตามความสามารถและผลสัมฤทธิ์ของงานของแต่ละบุคคล
มีความซื่อสัตย์สุจริต
กล้าตัดสินใจและกระทำในสิ่งที่ถูกต้องโดยคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว
มีความคิดสร้างสรรค์และคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ
เพื่อให้การปฏิบัติราชการและการบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
และมีมาตรการคุ้มครองป้องกันบุคลากรภาครัฐจากการใช้อำนาจโดยไม่เป็นธรรมของผู้บังคับบัญชา
·
ปรับปรุงระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้มีความคล่องตัว เปิดเผย
ตรวจสอบได้ และมีกลไกในการป้องกันการทุจริตทุกขั้นตอน
ผู้เขียนขอยกสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีนเป็นตัวอย่างในการพัฒนาแบบคู่ขนานนี้นะครับ
จะได้เห็นภาพว่ามังกรหลับกลับมาผงาดอย่างยิ่งใหญ่แบบนี้ได้อย่างไร
เมื่อเดือนกรกฎาคม
2560 สภาแห่งชาติของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีนเขาประชุมกันเพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศ
เขามองเห็นว่าในยุค Disruptive Technology นั้น “ปัญญาประดิษฐ์”
(Artificial Intelligence หรือ AI) จะมีบทบาทมากและจะสร้างรายได้มากในราว
147 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
และจะสร้างรายได้ให้แก่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องทั้งรายเล็กรายใหญ่ได้อีกในราว 1.4
ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐด้วย เขาจึงให้ความสำคัญแก่การพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ
AI และตั้งเป้าหมายว่าในปี 2030 เขาจะเป็นศูนย์กลางการพัฒนานวัตกรรมด้าน
AI ของโลกให้ได้
เขาไม่ได้ตั้งเป้าเฉย
ๆ ครับ แต่กำหนดแผนยุทธศาสตร์ในการดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายที่ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชนจะร่วมกันเดินไปข้างหน้าไว้อย่างชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาองค์ความรู้ด้าน AI ทั้งความรู้พื้นฐาน
เช่น big data intelligence, multimedia aware computing, human-machine
hybrid intelligence, swarm intelligence และความรู้ชั้นสูงที่จะนำมาพัฒนาต่อยอด
เช่น brain-like computing, quantum intelligent computing การพัฒนาระบบการศึกษาเพื่อบ่มเพาะนักวิทยาศาสตร์และนักประดิษฐ์ด้าน
AI การพัฒนา Open-source computing ให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรองการพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้ผ่าน
Hardware, Software และ Clouds ที่มีความแตกต่างหลากหลายภายใต้มาตรฐานทางเทคโนโลยีที่ชัดเจน
ในแง่กฎบัตรกฎหมาย
เขากำหนดให้มีพัฒนากฎหมายเพื่อให้สะดวกแก่ผู้ประกอบการทุกขนาด ทั้งเล็กทั้งใหญ่
และไม่ต้องเป็นนิติบุคคลก็ได้เพราะการพัฒนา AI ต้องใช้สมองคิดซึ่งไม่จำกัดเฉพาะนิติบุคคลเท่านั้นที่จะทำได้
นั่งถอดเสื้อเกาพุงกินโอเลี้ยงไปคิดไปก็ทำได้ นี่รวมถึงการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
รวมทั้งข้อกำหนดทางจริยธรรมในการพัฒนา AI ด้วยครับ
เขาไปไกลแล้ว เพราะ AI นี่ถ้าใช้ผิดทางมันเกลือกไปในทางผิดศีลธรรมได้เหมือนกันต้องดูแลกันดี
ๆ
สำหรับการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน
AI ดังกล่าวข้างต้นนั้น รัฐจะเป็นผู้ลงทุนเองเป็นหลัก แต่เปิดให้เอกชนร่วมลงทุนได้ด้วยแบบเดินไปด้วยกัน
และจะมีการตั้งกองทุน AI Fund
ขึ้นเพื่อระดมทุนมาใช้จ่ายในการพัฒนาและส่งเสริม AI เป็นการเฉพาะด้วย
เพราะลำพังงบประมาณอย่างเดียวคงไม่พอ
นี่เขาเริ่มดำเนินการไปครึ่งปีแล้วครับ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น