สถานการณ์ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม
2556 หากใครไม่เคยได้ยินผู้คนพูดถึงมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2550 นั้น ดูจะเชยมาก เพราะเป็นบทบัญญัติที่ทำให้นักกฎหมายสำนักต่าง ๆ
(หรือแม้แต่ภายในสำนักเดียวกันเอง)
มีความเห็นแตกกระสานซ่านเซ็นไปคนละทิศคนละทางว่ามาตรา 7
นี้สามารถนำมาปรับใช้เพื่อขอพระราชทานนายกรัฐมนตรี “คนกลาง” ได้หรือไม่? บางฝ่ายเห็นว่ากระทำได้ บางฝ่ายเห็นว่ากระทำไม่ได้และลุกลามใหญ่โตจนนำไปสู่วิกฤติทางความคิดของคนในประเทศ
รวมทั้งการเกิดขึ้นของมวลมหาประชาชน
มาตรา 7
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 นี้บัญญัติไว้ดังนี้ขอรับ
“มาตรา 7
ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
ผู้เขียนเป็นนักกฎหมายอ่อนอาวุโส
มีความรู้ทางด้านกฎหมายมหาชนและรัฐธรรมนูญไม่มากนัก ซึ่งหากจะเทียบความรู้ทางกฎหมายมหาชนและรัฐธรรมนูญของผู้เขียนกับหางของตัวอะไรสักตัวหนึ่ง ความรู้ด้านนี้ของผู้เขียนคงพอจะยาวเพียงหางจิ้งจกซึ่งยาวกว่าหางอึ่งนิดหน่อย
ผู้เขียนจึงมิบังอาจที่จะแสดงทรรศนะเพื่อ “ชี้ขาด” หรือ “ฟันธง” ลงไปว่า มาตรา 7
นี้สามารถนำมาปรับใช้ในกรณีดังกล่าวได้หรือไม่
อย่างไรก็ดี จากวิวาทะของนักกฎหมายที่แตกเป็นเสี่ยง
ๆ นั้น ผู้เขียนพบข้อเท็จจริงประการหนึ่งก็คือการให้ความเห็นของ “กูรู” และ
“กูรู้” ทั้งหลายที่อ่านกฎหมายรู้ดูกฎหมายเป็นนั้น ส่วนใหญ่วางอยู่บนพื้นฐานของการพิเคราะห์บทบัญญัติมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน (Existing legislation) เท่านั้น
ยังไม่มี “คุรุ” ท่านใดออกมาอธิบายเรื่องดังกล่าวบนพื้นฐาน “ความเป็นมา” และ
“บทบาท” ของบทบัญญัติดังกล่าวในมิติความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ (Historical
Approach) เลยว่าจู่ ๆ บทบัญญัติที่ว่านี้มาปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญได้ด้วยเหตุผลกลใด
อย่างมากที่สุดเท่าที่ผู้เขียนได้ยินก็คือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
2540 ก็มีบทบัญญัติเช่นเดียวกันนี้เหมือนกัน ว่าง่าย ๆ
คือผู้ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 นั้น “ลอก” มาจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 นั้นแหละ
บังเอิญว่าผู้เขียนเป็นพวกอยากรู้อยากเห็น ดังนั้น คำตอบห้วน ๆ สั้น ๆ ที่ไม่มีเหตุผลเช่นนี้จึงกระตุกต่อมอยากของผู้เขียนอย่างรุนแรงว่า
ผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เอาบทบัญญัตินี้มาใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญด้วยเหตุผลกลใด? แล้วเขาไปคัดลอกการเขียนเช่นนี้มาจากไหน? แล้ว “ต้นฉบับ”
เขามีบทบัญญัตินี้ไว้เพื่ออะไร?
เมื่ออยากมากเข้า
ผู้เขียนจึงเริ่มต้นจากการสำรวจวรรณกรรม (Survey literature) ตามหลักการวิจัยเบื้องต้นเป็นลำดับแรก โดยตรวจสอบรัฐธรรมนูญเก่า ๆ เพื่อค้นหา
“จุดเริ่มต้น” ของบทบัญญัตินี้
รวมทั้งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญฉบับที่เป็นจุดเริ่มต้นดังกล่าว
จากการตรวจสอบ ผู้เขียนพบว่ารัฐธรรมนูญฉบับแรกที่มีถ้อยคำทำนองเดียวกับที่ใช้ในมาตรา
7 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ก็คือธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร
พุทธศักราช 2502 ของท่านจอมพลผ้าขาวม้าแดงเจ้าของวิมานสีชมพู โดยมาตรา 20 ของธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร
พุทธศักราช 2502 บัญญัติไว้ว่า
“มาตรา 20
ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด
ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตย
ในกรณีมีปัญหาเกี่ยวแก่การวินิจฉัยกรณีใดตามความในวรรคก่อนเกิดขึ้นใน
วงงานของสภา หรือเกิดขึ้นโดยคณะรัฐมนตรีขอให้สภาวินิจฉัย ให้สภาวินิจฉัยชี้ขาด”
เมื่อพยายามสืบค้นข้อมูลเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับการร่างธรรมนูญการปกครองดังกล่าว
ก็ไม่ปรากฏบันทึกใด ๆ เป็นลายลักษณ์อักษรที่จะอ้างอิงได้ เพราะเป็นธรรมนูญการปกครองที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่คณะปฏิวัติได้กระทำการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินเมื่อวันที่
20 ตุลาคม 2501 ซึ่งแน่ละว่าคณะปฏิวัติคงไม่บันทึกเรื่องเหล่านี้ไว้เป็นหลักฐานหรอก
ผู้เขียนจึงได้วิเคราะห์ตัวบทของธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร
พุทธศักราช 2502 ทั้งฉบับ และพบเงื่อนงำที่สำคัญ นั่นก็คือมาตรา 17 อันอื้อฉาวของธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร
พุทธศักราช 2502 ที่บัญญัติให้นายกรัฐมนตรีมีลักษณะเป็น “องค์อธิปัตย์” อย่างสมบูรณ์แบบ โดยมาตรานี้บัญญัติไว้ดังนี้ครับ
“มาตรา 17 ในระหว่างที่ใช้ธรรมนูญนี้
ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีเห็นสมควรเพื่อประโยชน์ในการระงับหรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของราชอาณาจักรหรือราชบัลลังก์
หรือการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลาย
ก่อกวนหรือคุกคามความสงบที่เกิดขึ้นภายในหรือมาจากภายนอกราชอาณาจักร
ให้นายกรัฐมนตรีโดยมติของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งการ หรือกระทำการใด ๆ ได้
และให้ถือว่าคำสั่งหรือการกระทำเช่นว่านั้นเป็นคำสั่งหรือการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อนายกรัฐมนตรีได้สั่งการหรือกระทำการใดไปตามความในวรรคก่อนแล้ว
ให้นายกรัฐมนตรีแจ้งให้สภาทราบ”
จะเห็นได้ว่าบทบัญญัติมาตรา
17 ดังกล่าวรวมอำนาจอธิปไตยอันได้แก่อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการไว้ที่คน ๆ
เดียวคือนายกรัฐมนตรี และการใช้ดุลพินิจของนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 17 ก็เป็นเด็ดขาด ถึงแม้จะเขียนไว้ติ่งไว้หน่อยหนึ่งว่าการใช้ดุลพินิจของนายกรัฐมนตรีต้องเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีก็ตาม ทั้งนี้ เพราะนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ทูลเกล้า ฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี
แถมมาตรา 16 ยังบัญญัติไว้เสียอีกว่า “ก่อนตั้งคณะรัฐมนตรี หัวหน้าคณะปฏิวัติปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี”
เมื่อเขียนไว้เช่นนี้แล้ว ใครล่ะที่จะไปกล้าขัดใจหัวหน้าคณะปฏิวัติหรือนายกรัฐมนตรี
เมื่อเป็นเช่นนี้
บทบัญญัติมาตรา 17 จึงไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ต้องเป็นไปตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ (Separation of Powers) และ Rule of Laws ที่คณะราษฎรใช้เป็นเหตุผลหลักในการดำเนินการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี
2475 ทั้งยังไม่สอดคล้องกับพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ปรากฏในพระราชหัตถเลขาสละราชสมบัติ
ลงวันที่ 2 มีนาคม 2477 บางตอน ความว่า
“...ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิม
ให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด
คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาดและโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร...”
ทั้งนี้ นับแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมา ประเทศไทยก็ปกครองตามหลักการแบ่งแยกอำนาจมาโดยตลอด
แม้จะมีการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินอยู่บ้าง แต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยในห้วงเวลานั้น
อันได้แก่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
(ฉะบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492
และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 ก็มีบทบัญญัติแบ่งแยกอำนาจไว้อย่างชัดเจนตลอดมา
ดังนั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจมี “ใครสักคน” ในคณะที่ปรึกษากฎหมายของคณะปฏิวัติทักท้วงเรื่องนี้ขึ้น
จนทำให้คณะที่ปรึกษากฎหมายของหัวหน้าคณะปฏิวัติฉุกคิด และเห็นพ้องด้วย จึงได้เพิ่มมาตรา
20 ไว้ในธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 เพื่อเป็นกรอบในการใช้อำนาจตามมาตรา
17 ของหัวหน้าคณะปฏิวัติและนายกรัฐมนตรี โดยมาตรา 20 มีความหมายว่าการใช้อำนาจของหัวหน้าคณะปฏิวัติหรือนายกรัฐมนตรีในกรณีใด
ๆ ก็ตาม (ซึ่งก็รวมมาตรา 17 ด้วย) นั้นต้องเป็นไปภายใต้กรอบประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยตามหลักการแบ่งแยกอำนาจและ
Rule of Laws ที่คณะราษฎรยกขึ้นเป็นเหตุผลในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
รวมทั้งพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
อนึ่ง กรอบการใช้ดุลพินิจของหัวหน้าคณะปฏิวัติและนายกรัฐมนตรีตามมาตรา
20 นี้บัญญัติไว้เพียงว่า “ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด
ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตย”
โดยมิได้ระบุให้ “ผู้ใด” เป็นผู้วินิจฉัย แต่เมื่อพิจารณาจากบริบท (Context)
ของธรรมนูญการปกครองดังกล่าวที่ให้หัวหน้าคณะปฏิวัติหรือนายกรัฐมนตรีเป็นองค์อธิปัตย์
จึงมีความหมายโดยนัยว่าผู้วินิจฉัยในกรณีนี้คือ
“หัวหน้าคณะปฏิวัติหรือนายกรัฐมนตรี” นั่นเอง
นอกจากนี้
โดยที่ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 นั้นเป็นธรรมนูญการปกครองประเทศชั่วคราวเพื่อใช้ไปพลางก่อนในระหว่างที่มีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ
และมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการปกครองแผ่นดินเพียง 19 มาตราเท่านั้นเอง ไม่ได้ครบเครื่องรวมกันหลายร้อยมาตราเหมือนอย่างประมวลกฎหมาย..ขอประทานโทษ..รัฐธรรมนูญฉบับถาวร
มาตรา 20 จึงเป็น “บทกวาด” (Sweeping clause) โดยสภาพเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาข้อขัดข้องในการบริหารราชการแผ่นดินในกรณีที่ไม่มีปรากฏใน
19 มาตราที่ว่านั้น เช่น ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 มิได้กำหนดเรื่องการตราพระราชกำหนดขึ้นไว้ แต่ก็มีการตราพระราชกำหนดโดยนำกระบวนการตราพระราชกำหนดที่เคยปฏิบัติกันมาแต่เดิมมาใช้บังคับ กล่าวคือ เมื่อมีการตราพระราชกำหนดแล้วก็มีการเสนอต่อสภาร่างรัฐธรรมนูญทำหน้าที่รัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบ เป็นต้น
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น
ผู้เขียนจึงสันนิษฐานว่าบทบัญญัติที่ว่า
“เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด
ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตย” นั้นน่าจะเกิดขึ้นจากเหตุผลสองประการ
ประการที่หนึ่ง
เพื่อเป็นหลักให้คณะผู้ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินดำเนินการบริหารราชการแผ่นดินในระหว่างที่ยังไม่มีรัฐธรรมนูญถาวรให้เป็นไปตามกรอบประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตย
อันได้แก่หลักการแบ่งแยกอำนาจและ Rule of Laws อันเป็นหลักการสำคัญที่คณะราษฎรยกขึ้นอ้างเพื่อดำเนินการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 รวมทั้งพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ประการที่สอง
เพื่อเป็น “บทกวาด”
ป้องกันมิให้เกิดปัญหาข้อขัดข้องในการบริหารราชการแผ่นดินในช่วงที่มีการยึดอำนาจการปกครองเพราะธรรมนูญการปกครองแผ่นดินหรือรัฐธรรมนูญชั่วคราวทุกฉบับนั้นสั้นเสมอหู
มีเพียงไม่กี่มาตราเท่านั้น หากไม่มีบทกวาดไว้อาจเกิดปัญหาในการบริหารราชการแผ่นดินได้
ทั้งนี้
จากการตรวจสอบรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนับตั้งแต่พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว
พุทธศักราช 2475 เป็นต้นมา ผู้เขียนพบว่าบทบัญญัติที่ว่า
“เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด
ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตย” นั้น เป็นลักษณะเฉพาะรัฐธรรมนูญชั่วคราวเมื่อมีการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินและเริ่มใช้ครั้งแรกในธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช
2502 และปรากฏในรัฐธรรมนูญชั่วคราวทุกฉบับนับแต่นั้นเป็นต้นมา อันได้แก่
· ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร
พุทธศักราช 2515 ที่เป็นผลมาจากการยึดอำนาจการปกครองของคณะปฏิวัติเมื่อวันที่ 17
พฤศจิกายน 2514 (ปรากฏในมาตรา 22 โดยธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรฉบับนี้มีจำนวน 23
มาตรา)
·
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
2519 ที่เป็นผลมาจากการยึดอำนาจการปกครองของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินเมื่อวันที่
6 ตุลาคม 2519 (ปรากฏในมาตรา 25 โดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีจำนวน 29 มาตรา)
·
ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช
2520 ที่เป็นผลมาจากการยึดอำนาจการปกครองของคณะปฏิวัติเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2520
(ปรากฏในมาตรา 30 โดยธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรฉบับนี้มีจำนวน 32 มาตรา)
·
ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช
2534
ที่เป็นผลมาจากการยึดอำนาจการปกครองของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติเมื่อวันที่
23 กุมภาพันธ์ 2534 (ปรากฏในมาตรา 30 โดยธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรฉบับนี้มีจำนวน
33 มาตรา)
· รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549
ที่เป็นผลมาจากการยึดอำนาจการปกครองของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 (ปรากฏในมาตรา 38
โดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีจำนวน 39 มาตรา)
มีข้อสังเกตว่ามีรัฐธรรมนูญฉบับถาวรสองฉบับเท่านั้นที่มีการนำบทบัญญัติในลักษณะดังกล่าวมาแทรกไว้เป็นยาดำด้วย
คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
จากการตรวจสอบเจตนารมณ์ในการยกร่างมาตรา
7 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 จากบันทึกเจตนารมณ์ในการยกร่างรัฐธรรมนูญที่จัดทำโดยคณะกรรมาธิการวิสามัญบันทึกเจตนารมณ์
จดหมายเหตุ และตรวจรายงานการประชุม สภาร่างรัฐธรรมนูญ พบว่ามีการบันทึกเพียงว่าเป็นการคงหลักการเดิมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2540
และบันทึกไว้ด้วยว่าหลักการดังกล่าวนี้มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2540 เป็นครั้งแรก แต่จากการศึกษาความเป็นมาของบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น
ผู้เขียนเห็นว่าการบันทึกว่าหลักการดังกล่าวนี้มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2540 เป็นครั้งแรกนั้น ไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริง เพราะบทบัญญัตินี้มีใช้มาตั้งแต่ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร
พุทธศักราช 2502 แล้ว ผู้อ่านบันทึกเจตนารมณ์ดังกล่าวจึงอาจเกิดความสับสนได้ หากจะเขียนเสียให้ชัดว่าเป็นการนำบทบัญญัติที่มีลักษณะเฉพาะของธรรมนูญการปกครองแผ่นดินชั่วคราว
มาใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับถาวรเป็นครั้งแรกน่าจะสอดคล้องกับข้อเท็จจริงมากกว่า
อย่างไรก็ดี เมื่อบันทึกเจตนารมณ์ในการยกร่างมาตรา
7 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 เท้าความว่าเป็นการคงหลักการเดิมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2540
ผู้เขียนจึงตรวจสอบเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2540 ต่อไปและพบว่าคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2540 มิได้เสนอบทบัญญัติที่ว่า
“เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
ไว้ด้วย แต่มีการเพิ่มเข้ามาในชั้นคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ โดยคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญได้ชี้แจงความจำเป็นที่ต้องมีบทบัญญัติดังกล่าวว่า
เนื่องจากร่างรัฐธรรมนูญ (2540)
เปลี่ยนหลักการของตุลาการรัฐธรรมนูญเป็นศาลรัฐธรรมนูญ จึงเห็นควรมีการ “อุดช่องว่าง”
ของการใช้บังคับกฎหมายเพราะการบัญญัติในรัฐธรรมนูญจะมีรายละเอียดในประเด็นต่าง ๆ มากมิได้ จึงต้องหาทางแก้ไขปัญหาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อมิให้เกิดปัญหาการตีความของกฎหมาย
อีกทั้งรัฐธรรมนูญจะต้องครอบคลุมเหตุการณ์ต่าง ๆ ในภายภาคหน้า
ซึ่งอาจจะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่สามารถคาดคิดได้ในปัจจุบัน
การมีบทบัญญัติดังกล่าวไว้จะทำให้รัฐธรรมนูญมีความเป็นไปได้ในการบังคับใช้ “ตลอดกาล”
จากข้อเท็จจริงดังกล่าว
จะเห็นได้ว่าเจตนารมณ์ของบทบัญญัติที่ว่า “เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด
ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
ของรัฐธรรมนูญฉบับถาวรนั้น “แตกต่าง” จากที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่ผู้เขียนสันนิษฐานไว้ดังกล่าวข้างต้นโดยสิ้นเชิง
กล่าวคือ มันได้ “แปลงร่าง” จากการเป็น “กรอบการใช้อำนาจขององค์อธิปัตย์” เพื่อให้เป็นไปตามหลักการแบ่งแยกอำนาจและ
Rule of Laws และเป็นเครื่องมือ "อุดช่องว่าง" เหลือเพียงการเป็น “เครื่องมือในการอุดช่องว่างที่อาจมีของรัฐธรรมนูญ” อย่างเดียวเสียแล้ว
นอกจากนี้
ผู้มีอำนาจวินิจฉัยก็ได้เปลี่ยนแปลงไปจาก “องค์อธิปัตย์” เป็น “ศาลรัฐธรรมนูญ” แต่หากพิจารณาบทบัญญัติเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2540 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 แล้ว
ผู้เขียนเห็นว่าการใช้อำนาจขององค์อธิปัตย์ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวต่างจากศาลรัฐธรรมนูญโดยสิ้นเชิง
เนื่องจากองค์อธิปัตย์ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวนั้นถืออำนาจอธิปไตยทั้งสามไว้ในมือ
ไม่ว่าจะเป็นอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ และรัฐธรรมนูญชั่วคราวเองก็มีเพียงไม่กี่มาตราเท่านั้น
จึงต้องมีกรอบการใช้อำนาจให้เป็นไปตามหลักการแบ่งแยกอำนาจและ Rule of Laws ส่วนศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญถาวรใช้อำนาจตุลาการและต้องตัดสินคดีตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมายอยู่แล้ว
ในส่วนที่เกี่ยวกับการร่างกฎหมาย
โดยที่รัฐธรรมนูญฉบับถาวรนั้นมีบทบัญญัติรองรับเรื่องต่าง ๆ
ไว้อย่างเป็นระบบและละเอียดลออรวมหลายร้อยมาตรา
และรัฐธรรมนูญฉบับถาวรทุกฉบับในช่วงหลังปี 2502 ถึงก่อนฉบับปี 2540 ก็ไม่เคยนำบทบัญญัติที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะของธรรมนูญการปกครองชั่วคราวตามมาตรา 20 ของธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 มาบัญญัติไว้ด้วย ผู้เขียนจึงไม่แน่ใจว่าการนำบทบัญญัติที่ว่า
“เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
มาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับถาวรนั้นสอดคล้องและเหมาะสมกับ “ธรรมชาติ” ของรัฐธรรมนูญฉบับถาวรที่มีบทบัญญัติต่าง
ๆ ร้อยเรียงกันอย่างครบถ้วนและเป็นระบบอยู่แล้วหรือไม่
แต่ที่แน่ ๆ
ก็คือมันสร้างปัญหาขึ้นมาแล้วละ.
*บทความนี้เป็นผลงานทางวิชาการของผู้เขียน แม้ผู้เขียนจะทำงานอยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแต่หน่วยงานต้นสังกัดของผู้เขียนไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องด้วย และไม่ถือเป็นความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา*