ชาวโลกเขาตื่นตัวเรื่องนี้กั นมาก และมีการเตรียมการรับมือเรื่ องนี้อย่างจริงจัง แต่ชาวเราดูจะมองว่าเป็นเรื่ องไกลตัว ไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไร ทั้ง ๆ ที่ เผชิญกับปัญหานี้กันทุกปี น้ำแล้งบ้าง น้ำท่วมบ้าง เสียหายกันปีละมิใช่น้อย ๆ รัฐต้องใช้เงินและบุคลากรจำนวนมากเพื่อช่วยเหลือเยียวยาความเสียหาย
เราดูเหมือนจะเป็นกบในหม้อต้มน้ำ (frog in the boiler) ตามสุภาษิตฝรั่ง คือ ถ้าจับกบไปใส่ไว้ในหม้อแล้ วค่อย ๆ ต้มน้ำให้ร้อนขึ้นทีละน้อย จะไม่หนีออกจากหม้อ สิ่งที่กบทำคือมันปรับตัวเองให้ เข้ากับสภาพน้ำที่ค่อย ๆ ร้อนขึ้น จนถึงจุดหนึ่งที่เกินจะปรับตั วได้มันก็จะไม่มีความสามารถที่ จะหนีไปไหนแล้วและตายคาหม้อ
ถ้าเราไม่อยากเป็นกบตัวที่ว่านี้ เราก็ต้องหาวิธีการรับมือกั บการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่ างเหมาะสม ไม่ใช่แค่เชิงรับ คือตระเตรียมข้าวของไว้ช่วยเหลื อผู้ประสบภัย หากต้องทำในเชิงรุกด้วย คือป้องกันให้เกิดความเสียหายน้ อยที่สุด (Minimize loss)
ปีนี้เราชุ่มโชกมาก ฝนตกน้ำท่วมหลายจุด ผู้เขียนสังเกตว่าน้ำป่ าไหลหลากเข้าท่วมหลายพื้นที่ที่ ไม่ควรจะท่วม และฝนตกน้ำขังในที่ที่ไม่ ควรจะขัง จึงลองวิเคราะห์แบบบ้าน ๆ ดูว่าทำไมน้ำถึงเปลี่ยนเส้ นทางการไหล ทำให้การรับมือกับน้องน้ำที่ วางแผนกันไว้ล่วงหน้าแล้วมีปั ญหาอยู่ตลอดเวลา
ตามปกติ น้ำจะไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ เส้นทางการไหลของน้ำจะบอกว่ าตรงไหนเป็นมาที่สูง ตรงไหนเป็นที่ต่ำ เดิมเส้นทางนี้คาดการณ์ได้ง่ ายเพราะคนไทยโบราณเราปลูกบ้ านอย่างชาญฉลาด ใช้เรือนยกใต้ถุนสูง ไม่ใช้การถมดินเพื่อปลูกบ้าน แต่ต่อมาเมื่อมีการปลูกบ้านอย่ างฝรั่งกันมากขึ้น เราก็กลัวน้ำจะท่วมบ้าน ก่อนปลูกบ้านจึงต้องถมที่ให้สู งก่อน น้ำจะได้ไม่ท่วมบ้านสวย ๆ
เมื่อนาย ก. ถมที่ บ้านเขาก็น้ำไม่ท่วม แต่บ้านนาย ข. นาย ค. นาง ง. และใครต่อใครต่าง ๆ อีกมากมายที่อยู่รอบ ๆ ต้องรับภาระน้ำแทน คราวนี้เวลาใครจะสร้างบ้านก็ จะถมที่ให้สูงกว่าคนอื่นอยู่ เสมอ และความคิดนี้ได้กลายมาเป็นชุ ดความคิดมาตรฐานในการก่อสร้ างอาคารและการพัฒนาอสังหาริมทรั พย์ไปแล้ว
การวิเคราะห์แบบบ้าน ๆ ของผู้เขียนนี้นำไปสู่สมมุติฐาน (แบบบ้าน ๆ อีกเหมือนกัน) ว่า บัดนี้ความสูงต่ำของพื้นที่ (Contours) ทั่วประเทศเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว และยังคงเปลี่ยนแปลงทุกวั นเพราะการถมดินเพื่อปลูกสร้ างอาคารเป็นกิจวัตรประจำวั นของชาวเราไปแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงไม่อาจคาดการณ์ได้ชั ดเจนว่าถ้ามีน้ำไหลหลากมา น้องน้ำจะไหลไปทางไหน ยิ่งมีการพัฒนาพื้นที่ใหม่รอบ ๆ เมืองเก่า เขตเมืองเก่าจะกลายเป็นที่ลุ่ มต่ำไปโดยปริยาย เพราะการพัฒนาพื้นที่ใหม่รอบ ๆ นั้นจะมีการถมที่ให้สูงขึ้นเรื่ อย ๆ นั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมพื้นที่ ในเขตเมืองเดิมจึงกลายเป็นแอ่ งรองน้ำ และมี "น้ำรอการระบาย" ทุกทีที่ฝนตก และในพื้นที่อื่นน้ำ จะไหลหลากไปทางไหน เพราะตอนนี้ไม่รู้แล้วว่ าตรงไหนสูงกว่าตรงไหน
จะดีไหมครับ ถ้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้ องจะฉวยโอกาสตอนนี้แหละตรวจสอบ contours ของพื้นที่ทั่วประเทศใหม่ทั้ งหมด การวางผังเมืองก็ต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย มีการทำแผนที่เส้นทางการไหลของน้ำ เสียให้ชัดเจน แล้วประกาศให้ประชาชนทราบ มีกลไกและมาตรการห้ามปลูกสร้างใด ๆ รวมทั้งการถมดินในเส้นทางน้ำ ไหลนี้อย่างเด็ดขาด ใครฝ่าฝืนจัดการอย่างเฉียบขาด ไม่ปล่อยไว้ให้เป็นปัญหารุงรัง ประกาศให้สังคมทราบเพื่อใช้ มาตรการทางสังคมกดดันคนที่ไม่มี ความรับผิดชอบต่อส่วนรวมด้วย ส่วนทางราชการที่จะสร้ างถนนหนทาง หรือทางรถไฟผ่านแนวนี้ต้องทำเป็ นสะพานเท่านั้น เป็นต้น
เราจะได้มีข้อมูลที่เป็นปัจจุบั นเพื่อประโยชน์ในการบริหารจั ดการน้ำอย่างเป็นรูปธรรม ดีกว่ามานั่งตำหนิติเตียนหรือจั บผิดกันไปวัน ๆ
มาช่วยกันคิดช่วยกันทำเพื่อพั ฒนาบ้านเมืองกันดีกว่าครับ