การจัดการศึกษาเรียนรู้ต้องคำนึงถึงบุคลิกลักษณะ ความสามารถ รวมทั้งความถนัด (personality) อันแตกต่างของผู้เรียนเป็นสำคัญ เพราะมนุษย์แต่ละคนมีบุคลิกลักษณะ ความสามารถ และความถนัดที่แตกต่างกัน การจัดการศึกษาเรียนรู้แบบ one size fit all จึงไม่ได้ส่งเสริมความสามารถ ศักยภาพ และสมรรถภาพของมนุษย์ หากเป็นการทำให้มนุษย์เหมือน ๆ กัน ซึ่งทำลายความแตกต่างอันเป็นคุณค่าของมนุษย์แต่ละคนอย่างสิ้นเชิง ทั้งยังทำให้ผู้เรียนซึ่งมีทักษะความสามารถไม่ตรงหลักสูตรเบื่อหน่ายและทิ้งการเรียนไปอย่างน่าเสียดาย
นี่ยังไม่ได้พูดไปถึงปัญหาอันเกิดจากการที่กลุ่มที่หันหลังให้ระบบการศึกษาเรียนรู้ไปก่อเรื่องก่อราวมากมายในสังคมนะครับ ไม่เชื่อลองสังเกตดูครับว่าอายุของผู้กระทำความผิดในคดีรุนแรงนั้นยิ่งวันยิ่งอายุน้อยลงเรื่อย ๆ น่ากลัวนะครับนี่
ผู้เขียนเห็นว่าการจัดการศึกษาเรียนรู้ที่คำนึงถึงบุคลิกลักษณะ ความสามารถ รวมทั้งความถนัดของแต่ละคน จึงจะสอดคล้องกับข้อ 13 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียง "จัดให้มี" กระบวนการมาตรฐานสำหรับการศึกษาเรียนรู้เท่านั้น
จากการศึกษาของมูลนิธิ LEGO ที่ใช้เวลาวิจัย 20 ปีติดต่อกัน โดยได้รับการสนับสนุนจากผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ที่เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเด็กรายใหญ่ของโลก หรือบริษัท LEGO เขาพบว่ามนุษย์แห่งอนาคตต้องได้รับการพัฒนา soft skill ตั้งแต่ในช่วงเด็กเล็ก (0-2) ขวบ เพราะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดในชีวิตของมนุษย์ในการปลูกฝัง soft skill อันได้แก่ความสามารถในการสื่อสาร (communication) การอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างเข้าอกเข้าใจ (collaboration) และความคิดสร้างสรรค์ (creativity) โดย soft skill เหล่านี้จะทำให้เด็กมีความกระตือรือร้นสนใจที่จะเรียนรู้ตลอดชีวิต สนใจที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทักษะชีวิตต่าง ๆ ต่อเนื่องไปจนตาย นี่จึงเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่แท้จริง ไม่ใช่จัดหลักสูตรนู่นนี่ให้เข้าเรียนทุกช่วงวัยอย่างที่ทำ ๆ กัน นั่นมันเป็นเพียงวิธีการหนึ่งเท่านั้น
มูลนิธิ LEGO เสนอว่าเด็กเล็กไม่ต้องเรียนรู้ด้านวิชาการ แต่ต้องเน้นให้เด็กรู้จักรับผิดชอบตนเอง รู้จักการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น และความคิดสร้างสรรค์
กระทรวงศึกษาธิการสิงคโปร์จัดการศึกษาตามแนวทางที่ว่านี้ โดยในวัยเด็กเล็กนั้น เขาเน้นพัฒนาเด็กเล็กให้มี core values สำคัญอันได้แก่การรู้จักตนเอง (self awareness) รู้จักจัดการตนเอง (self management) รู้จักว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของสังคม (social awareness) รู้จักตัดสินใจอย่างมีความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและสังคม (responsible decision making) และรู้จักการอยู่ร่วมกับผู้อื่นที่แตกต่างอย่างเข้าใจ (relationship management) และจะค่อย ๆ พัฒนาทักษะทางสังคมและอารมณ์ รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา รู้จักบริหารความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต เพื่อให้เด็กมีความมั่นใจ ฝักใฝ่เรียนรู้ รับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม และรู้จักตอบแทนสังคม
เป้าหมายของสิงคโปร์ในการจัดการศึกษาเรียนรู้จึงไม่ใช่การผลิดนักเรียนให้ได้จำนวนที่กำหนด แต่เป็นการสร้างคนให้มีทักษะตามที่กำหนด ดังต่อไปนี้
1. Civil literacy, global awareness and cross-cultural skill
2. Critical and inventive thinking
3. Communication, collaboration and information skills
ผู้เขียนขอเชิญชวนให้พี่น้องชาวไทยมากระตุ้นให้ผู้เกี่ยวข้องกับการศึกษาเรียนรู้ในเรื่องดังกล่าวข้างต้น จะเป็นประโยชน์แก่ลูกหลานไทยของเรา มากกว่าจะไปมุ่งเรื่องโครงสร้าง ตำแหน่ง อัตรากำลัง หลักสูตร หนี้สิน ฯลฯ เพราะถ้าเป้าหมายชัดเจน เราจึงจะไปจัดโครงสร้างอะไรเหล่านั้นได้ถูกต้องเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
ถ้าจะพัฒนาชาติ ต้องเริ่มที่การพัฒนาเด็กเล็กครับซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเน้นย้ำเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนในหมวดการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา
เราละเลยเด็กเล็กมานานมากแล้ว เห็นทีจะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนเสียแล้ว
น่าเสียดาย ไม่มีใครสนใจเลย.