การกระทำความผิดอาญา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์และความต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
ผู้กระทำความผิดส่วนใหญ่มุ่งประสงค์ต่อทรัพย์สินหรือประโยชน์ (Proceeds of
crime) ที่ตนจะได้มาจากการกระทำความผิด
ในการกระทำความผิดอาญาเกี่ยวกับทรัพย์
ผู้กระทำความผิดมักมุ่งหมายให้ตนได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยตรง เช่น การลักทรัพย์
การปล้นทรัพย์ การยักยอกทรัพย์ การฉ้อโกง เป็นต้น เมื่อได้มาแล้วก็แปลกที่มักจะนำไปใช้จ่ายโดยตรงในทางวิบัติต่าง
ๆ ไปดื่มสุรายาเมา ซื้อยาเสพติดมาเสพย์ เล่นการพนัน ใช้หนี้การพนัน ฯลฯ หากพอจะมีเหลือบ้างก็จะนำไปแปลงสภาพเป็นเงิน
ทอง หรือทรัพย์สินอื่นแล้วมอบให้ญาติโกโหติกาหรือบริวารของตนยึดถือทรัพย์สินนั้นไว้แทนตน
แต่การกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
ผู้กระทำความผิดมักจะมุ่งหมายให้ตนได้รับ “ประโยชน์ตอบแทน” จากการกระทำหรือละเว้นกระทำการใด
ๆ อันอยู่ในอำนาจหน้าที่ของตน โดยประโยชน์ตอบแทนนี้มีทั้งประโยชน์ตอบแทนในรูปตัวเงินหรือทรัพย์สินอื่น
และประโยชน์ตอบแทนที่มิใช่ตัวเงิน
สำหรับประโยชน์ตอบแทนที่เป็นตัวเงินนั้น
เราคงพบเห็นกันอยู่เป็นประจำ จนหลายคนคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้ว เช่น การจ่ายเงินเพื่อหยอดน้ำมันให้การอนุมัติอนุญาตต่าง
ๆ หรือเพื่อเป็นสินน้ำใจแก่เจ้าหน้าที่ที่ทำงานรวดเร็วหรือให้ความอนุเคราะห์ในเรื่องต่าง
ๆ การเรียกค่าปรับโดยไม่มีใบสั่งตามท้องถนน เป็นต้น ส่วนประโยชน์ตอบแทนที่ไม่ใช่ตัวเงินมักแอบแฝงมาในรูปแบบอื่นที่มี
“มูลค่า” ที่คลาสสิคมาก ๆ ในความเห็นของผู้เขียนและทำกันจนเป็นประเพณีปฏิบัติไปแล้ว
คงไม่แคล้วการสะสมไมล์เดินทางของสายการบินเข้าบัญชีสะสมไมล์ของตัวเองทั้ง ๆ ที่เดินทางไปราชการและด้วยเงินงบประมาณของทางราชการ
(แต่ไปถึงแล้วอาจไม่ได้เข้าประชุมหรือประชุมเดี๋ยวเดียว) บางคนสะสมไมล์ได้จำนวนมากจนสามารถใช้เลาจ์
VIP ของสายการบินได้ ที่สามารถแลกตั๋วฟรีไปเที่ยวต่างประเทศได้ก็มากมายอยู่
(ซึ่งผู้เขียนก็ไม่แน่ใจว่านี่เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้สายการบินแห่งชาติของเราขาดทุนด้วยหรือไม่)
ส่วนประโยชน์ตอบแทนที่ไม่ใช่ตัวเงินรูปแบบอื่นก็เช่นการที่คู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐหรือผู้ที่เคยได้ทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐมอบพระเครื่องหายากให้เป็นของขวัญแก่ผู้มีอำนาจหน้าที่อนุมัติโครงการหรือมีอำนาจสั่งซื้อสั่งจ้าง
หรือการที่นิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจต่าง ๆ มอบหุ้นลมให้แก่นักการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูง
หรือแต่งตั้งนักการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูงเป็นกรรมการหรือประธานกรรมการของนิติบุคคลนั้นเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายมีความเกรงใจหรือเพื่อ
“เคลียร์” ข้อขัดข้องต่าง ๆ ให้แก่ตน
เคยมีคนพูดเข้าหูผู้เขียนว่าบางที่นั้นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐหรือผู้ที่เคยได้ทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐถึงกับ
“เชิญ” หรือเป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานหรือคณะกรรมการตรวจรับพัสดุพร้อมครอบครัวไป
“ดูงาน” ต่างประเทศโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยกินอยู่ฟรี ซื้อของขวัญให้
รวมทั้งออกรอบตีกอล์ฟฟรีด้วย!!!!
ในทางกฎหมาย
ไม่ว่าจะระบบกฎหมายใด ถือว่าบรรดาทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดโดยตรงหรือที่เรียกในทางเทคนิคว่า
“ทรัพย์สินสกปรก” (Tainted property) นั้น หากยังมีตัวทรัพย์สินนั้นอยู่
ถือเป็นทรัพย์สินที่ต้องริบ (shall be confiscated) เพื่อมิให้ผู้กระทำความผิด
ตลอดจนญาติพี่น้อง และวงศ์วานว่านเครือของคนเหล่านี้แสวงหาประโยชน์จากทรัพย์สินเหล่านี้ได้
ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือถ้าผู้กระทำความผิดแปลงสภาพทรัพย์สินสกปรกนั้นไปเป็นแก้วแหวนเงินทอง
เพชรพลอย หรือทรัพย์สินอื่นแล้วมอบให้ญาติโกโหติกาหรือบริวารของตนยึดถือทรัพย์สินนั้นไว้ก็ดี
หรือผู้กระทำความผิดได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนที่ไม่ใช่ตัวเงินและแอบแฝงมาในรูปแบบต่าง
ๆ ดังกล่าวข้างต้นก็ดี จะทำอย่างไร? หรือได้บริโภคประโยชน์ตอบแทนดังกล่าวไปแล้ว
จะทำอย่างไร? เช่น เขาพาไปเที่ยวต่างประเทศมาแล้ว
กินข้าวเขาไปแล้ว เป็นต้น
ในกรณีเช่นนี้นักกฎหมายทั่วโลกเห็นตรงกันว่าต้องริบทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดและบุคคลที่เกี่ยวข้องตาม
“มูลค่า” ของทรัพย์สินที่ได้มาแทนทรัพย์สินสกปรกหรือประโยชน์ที่ตนได้รับมาด้วย (Value-base
confiscation) ซึ่งนอกจากจะเป็นไปเพื่อลงโทษผู้กระทำความผิดแล้ว
ยังเป็นไปเพื่อมิให้ผู้กระทำความผิด ตลอดจนญาติพี่น้อง
และวงศ์วานว่านเครือของคนเหล่านี้สามารถเสพย์สุขจากทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่ได้มาโดยมิชอบเหล่านี้ได้อีกต่อไป
กล่าวคือ หากศาลพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิด
กฎหมายให้อำนาจแก่ศาลที่จะพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามมูลค่าที่เท่ากับมูลค่าของทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่ได้มาโดยมิชอบเหล่านี้หากว่าไม่มีตัวทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นอยู่ในขณะที่ศาลมีคำพิพากษาให้ริบ
สำหรับกฎหมายไทยนั้น
มาตรา 18 (5) แห่งประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติว่าการริบทรัพย์สินเป็นโทษทางอาญา
ซึ่งมาตรา 33 (2) แห่งประมวลกฎหมายอาญา ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ริบทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้มาโดยการกระทำความผิดด้วย
ทั้งนี้ เพื่อมิให้ผู้กระทำความผิด ญาติบริวาร
และวงศ์วานว่านเครือของผู้กระทำความผิดได้รับประโยชน์ใด ๆ จากทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด
และแม้กฎหมายบัญญัติให้ริบ “ทรัพย์สิน” อันมีความหมายครอบคลุมทั้งทรัพย์ที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่าง
แต่โดยที่มาตรา 35 บัญญัติว่าทรัพย์สินซึ่งศาลพิพากษาให้ริบให้ตกเป็นของแผ่นดิน
และต่อมาศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาฎีกาที่ 1587/2505 และคำพิพากษาฎีกาที่
804/2520 วางบรรทัดฐานไว้ว่า การริบทรัพย์สินนั้น
ทรัพย์สินที่จะริบต้องมีตัวอยู่ ไม่ว่าจะยึดเอามาเป็นของกลางแล้วหรืออยู่อื่น
ถ้าทรัพย์สินที่จะริบนั้นไม่มีตัว เช่นถูกทำลายหรือสูญหายไปจะสั่งริบไม่ได้
เพราะไม่อาจตกเป็นของแผ่นดินได้ ดังนั้น กรณีจึงมีช่องว่างที่ทำให้ศาลไม่มีอำนาจสั่งให้ริบทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดที่ผู้กระทำความผิดซุกซ่อนหรือยักย้ายถ่ายเทไปแล้วได้
ยิ่งเป็นประโยชน์ตอบแทนที่ไม่ใช่ตัวเงินและแอบแฝงมาในรูปแบบต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นก็ยิ่งแล้วใหญ่เนื่องจากไม่มีตัวทรัพย์เหลือให้ริบ
ช่องว่างนี้จึงทำให้ผู้กระทำความผิด ญาติพี่น้อง และเครือข่ายของผู้กระทำความผิดยังคงได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด
หรือประโยชน์ตอบแทนอื่น รวมทั้งบรรดาทรัพย์สินหรือประโยชน์ใด ๆ
ที่ได้มาแทนทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิดนั้นอยู่ต่อไป
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น
เมื่อผู้กระทำความผิดได้มาซึ่งทรัพย์สินสกปรกจึงมักจัดแจงยักย้ายถ่ายเทหรือแปลงสภาพทรัพย์สินสกปรกนั้นเป็นลำดับแรกเพื่อมิให้มีการริบได้
อันทำให้ญาติพี่น้องและวงศ์วานว่านเครือของตนยังคงได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินสกปรกหรือทรัพย์สินที่ได้มาแทนทรัพย์สินสกปรกนั้น
หรือกรณีการกระทำความผิดที่ผู้กระทำความผิด ตลอดจนญาติพี่น้องและวงศ์วานว่านเครือของผู้กระทำความผิดได้บริโภคประโยชน์ตอบแทนที่มิใช่ตัวเงินไปแล้ว
ก็ไม่สามารถลงโทษบุคคลเหล่านี้โดยการริบทรัพย์สินได้ ซึ่งไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของการริบทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายอาญาที่ไม่ต้องการให้ผู้กระทำความผิด
ญาติพี่น้อง และวงศ์วานว่านเครือของคนเหล่านี้เสพย์สุขจากทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่ได้มาโดยมิชอบเหล่านี้ได้อีกต่อไป
ในปี 2552
รัฐบาลในขณะนั้นได้มีหนังสือที่ นร 0503/4582
ลงวันที่ 17 มีนาคม 2552 เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เพิ่มเติมหลักเกณฑ์การริบทรัพย์สินและเพิ่มวิธีริบทรัพย์สินตามมูลค่า)
ต่อสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ศาลมีอำนาจสั่งริบทรัพย์สินหรือประโยชน์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้บรรดาที่บุคคลใดได้มาจากการกระทำความผิด
และที่ได้มาจากการจำหน่าย จ่าย โอนด้วยประการใด ๆ
ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์ดังกล่าว
โดยหากทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่ต้องริบนั้นเป็นสิ่งที่โดยสภาพไม่สามารถส่งมอบได้
สูญหาย หรือไม่สามารถติดตามเอาคืนได้ไม่ว่าด้วยเพตุใด หรือได้มีการนำสิ่งนั้นไปรวมเข้ากับทรัพย์สินอื่น
หรือได้มีการจำหน่าย จ่าย
โอนสิ่งนั้นให้แก่ผู้อื่นซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดไปแล้วโดยไม่ได้ทรัพย์สินอื่นใดมาแทน
หรือมูลค่าของทรัพย์สินที่ได้มาแทนนั้นต่ำกว่าราคาท้องตลาดของสิ่งนั้นในวันที่มีการจำหน่าย
จ่าย โอนสิ่งนั้น ศาลอาจกำหนดมูลค่าของสิ่งนั้นโดยคำนึงถึงราคาท้องตลาดของสิ่งนั้นในวันที่ศาลมีคำพิพากษาและสั่งให้ผู้ที่ศาลสั่งให้ส่งสิ่งที่ริบชำระเงินตามมูลค่าดังกล่าวภายในเวลาที่ศาลกำหนด
น่าเสียดายนัก หลังจากรัฐบาลได้เสนอร่างพระราชบัญญัตินี้ต่อสภาผู้แทนราษฎรแล้วก็มีการยุบสภาและทำให้ร่างกฎหมายนี้ตกไป
เชื่อไหมว่าร่างกฎหมายดี
ๆ มักมีจุดจบที่น่าอนาถเช่นนี้เสมอ.
[1]กรรมการร่างกฎหมายประจำ
(นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (2557) อนึ่ง บทความนี้เป็นความเห็นทางวิชาการส่วนบุคคลของผู้เขียน
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องด้วย