วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ข้อมูลเพื่อประกอบการพัฒนาการศึกษา

นายปกรณ์ นิลประพันธ์
กรรมการร่างกฎหมายประจำ
(นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ)
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา


                   ช่วงนี้มีการพูดถึงการปฏิรูปการศึกษาอย่างครึกโครม ประกอบกับผู้เขียนมีบุตรที่กำลังอยู่ในวัยเรียนและอยู่ในระบบการศึกษา ผู้เขียนและบุตรจึงนับเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงในประเด็นนี้ จึงขอเสนอข้อมูลและความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของสาธารณชนและผู้เกี่ยวข้องด้วย

                   บังเอิญว่าผู้เขียนมีโอกาสอ่านรายงานฉบับหนึ่งของ OECD รายงานฉบับนี้มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาการศึกษาโดยเฉพาะ สรุปความได้ว่าโลกในอีก 20 ปีข้างหน้านั้นจะเป็น "โลกเสมือนไร้สัญชาติ" เพราะความก้าวหน้าของระบบการสื่อสารและการคมนาคมทำให้การอพยพย้ายถิ่นเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก ประกอบกับแรงผลักดันทางเศรษฐกิจที่ทำให้แรงงานเคลื่อนย้ายอยู่ตลอดเวลาตามสภาวะการณ์ของสภาพเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วขึ้น และระบบเศรษฐกิจโลกจะโน้มเอียงไปในทางการให้บริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ

                   เมื่อเป็นเช่นนี้ รายงานฉบับนี้จึงเสนอแนะว่าทุกประเทศจึงต้องพัฒนาการศึกษาให้รองรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่ว่า กล่าวคือ ต้องพัฒนาบุคคลากรของตนให้มีลักษณะ 3 ประการเรียงตามลำดับดังนี้

                   (1) มีความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) เพราะความคิดสร้างสรรค์จะนำมาซึ่งการพัฒนานวัตกรรม (Innovation) ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงมากกว่าการผลิตพื้นฐาน หรือการเป็นโรงงานรับจ้างประกอบ ที่เห็นได้ชัดเจนคืออุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ และ Digital Contents ทั้งหลาย

                   (2) มีความสามารถในการอยู่ร่วมกันและทำงานร่วมกับผู้อื่นซึ่งมีความแตกต่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็นสัญชาติ ชาติพันธุ์ ศาสนา วัฒนธรรม ความเชื่อ ฯลฯ ได้อย่างดี (Collaboration)  ดังนั้น คนยุคหน้าจึงต้องมีความฉลาดทางอารมณ์สูง เข้ากับผู้อื่นได้ดี มีอัตตาต่ำ เข้าใจและยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น

                   (3) มีความฉลาด (Talent)

                   สังเกตไหมครับว่าเขาจัดความฉลาดอยู่ในลำดับสุดท้าย เพราะผู้มีความฉลาดหากเข้ากับผู้อื่นไม่ได้ก็ไม่เป็นประโยชน์อันใดแก่การอยู่ร่วมกันและการทำงานเป็นทีม ทั้งยังอาจสร้างปัญหาขึ้นอีก

                   โดยส่วนตัว ผู้เขียนเห็นว่าการพยากรณ์และข้อเสนอแนะของ OECD สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของโลกและมีความชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ประเทศไทยจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเตรียมบุคคลากรของเราให้มีคุณลักษณะทั้งสามประการดังกล่าว มิฉะนั้นประเทศไทยเราอาจต้องไปแอบอยู่มุมใดมุมหนึ่งในเวทีโลก

                   ผู้เขียนสังเกตว่าการศึกษาไทยที่ผู้เขียนประสบมาเองและที่บุตรชายของผู้เขียนกำลังประสบอยู่นั้นเหมือนกัน เราทั้งสองรุ่นถูกสังคมรายล้อมปลูกฟังให้ต้อง "เรียนเก่ง" ไว้ก่อน เก่งที่ว่านี้คือต้องได้คะแนนสูง ๆ เข้าไว้ ประกอบกับหลักสูตรการศึกษายังคงเป็นหลักสูตรที่ถูกกำหนดมาจากเบื้องบน ดังจะเห็นได้ว่าทุกคนในแต่ละระดับชั้นต้องเรียนเหมือนกันทุกวิชา และแต่ละห้องต้องเรียนโดยใช้ตารางสอนเดียวกันหมดราวกับปลาทูในเข่ง ทั้ง ๆ ที่ผู้เรียนแต่ละคนมีบุคลิกลักษณะ ทักษะ และความถนัดที่แตกต่างกันตั้งแต่เกิด บางคนไม่ถนัดการคำนวณ บางคนไม่ถนัดภาษา บางคนถนัดพละศึกษา ฯลฯ แต่ทุกคนต้องเรียนเหมือนกันและต้องสอบข้อสอบเดียวกัน คะแนนตัดสินคือคะแนนรวม นัยว่าเพื่อความเป็นธรรม ซึ่งผู้เขียนสงสัยมาตั้งแต่เด็กแล้วว่ามันเป็นธรรมสำหรับผู้เรียนจริงหรือไม่ในเมื่อทุกคนถนัดแตกต่างกัน

                   เรื่องความสามารถในการอยู่ร่วมกันและทำงานร่วมกับผู้อื่นซึ่งมีความแตกต่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็นสัญชาติ ชาติพันธุ์ ศาสนา วัฒนธรรม ความเชื่อ ฯลฯ นั้น ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าระบบการศึกษาไทยในปัจจุบันนั้นเพียงพอแล้วหรือไม่ ผู้เขียนพบว่าเรายังมีค่านิยมที่ว่าเราไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใครอย่างเหนียวแน่น และค่านิยมนี้ทำให้เราไม่สนใจที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจชาติอื่น ไม่ต้องเอาอื่นไกล ประเทศเพื่อนบ้านเราก็ไม่ใส่ใจที่จะรู้ เรามักเรียนรู้เรื่องตะวันตกที่อยู่ห่างไกลมากกว่าเรื่องตะวันออกที่ใกล้กับตัวเรา แต่ก็ไม่แน่ใจว่ารู้ลึกรู้จริงหรือไม่ ผู้เขียนเห็นว่าเรายังไม่ได้เตรียมระบบการเรียนการสอนเพื่อรองรับพหุสังคม (Multicultural Society) เท่าที่ควร คงมีแต่ธงของชาติอาเซียนที่ติดตั้งปลิวไสวในสถานศึกษาเท่านั้น

                   สำหรับเรื่อง Creativity ผู้เขียนเห็นว่าระบบการศึกษาไทยเน้นความเก่งตามตำรา ทำอย่างไรจะได้คะแนนสูง ๆ เป็นเป้าหมายหลัก ผู้เรียนจึงจึงขาดความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการอันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในอนาคต

                   ปีก่อนบุตรของผู้เขียนได้รับโอกาสไปเรียนร่วมกับนักเรียนชั้น ม. 2 ในโรงเรียนธรรมดา ๆ แห่งหนึ่งของออสเตรเลีย เมื่อกลับมาผู้เขียนได้ขอสมุดจดวิชาต่าง ๆ ของเขามาดูและสัมภาษณ์ว่าเขาเรียนอะไรอย่างไรบ้าง พบว่าเขาจัดการศึกษาตามความถนัดของผู้เรียนเป็นหลัก ไม่ใช่ความสะดวกของผู้สอน ผู้เรียนในห้องเดียวกันไม่ต้องเรียนเหมือน ๆ กันทุกวิชา แต่ให้เรียนตามความสนใจของตัวเอง เช้าเรียนวิชาการแบบเดินเรียน ช่วงบ่ายเป็นวิชากิจกรรมและพลศึกษาก่อนกลับบ้าน

                   ว่าด้วยภาควิชาการ ในวิชา Geography ผู้เขียนถึงกับตกใจเมื่อพบว่าเขาสอนนักเรียนเกี่ยวกับ Kyoto Protocol ซึ่งว่าด้วย Carbon emission ในฐานะที่พลเมืองออสเตรเลียเป็นส่วนหนึ่งของพลเมืองโลก เขามอบให้เด็กไปอ่านหนังสือแล้วมาพูดคุยถกเถียงกันในชั้น ไม่ใช่จดตามที่ครูเขียนบนกระดานดำเพื่อให้ไปท่องมาสอบให้ตรงตามครูสอน ครั้นเมื่อผู้เขียนไปสอนระดับปริญญาโทในสาขาเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและนิสิตล้วนแล้วแต่ทำงานมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี จึงลองให้นิสิตช่วยกันอธิบายเกี่ยวกับ Protocol ดังกล่าว ปรากฏว่าไม่มีผู้ใดสามารถตอบได้เลย!

                   ผู้เขียนไม่ใช่นักการศึกษาแต่เป็นนักกฎหมาย จึงไม่รู้ว่าจะพัฒนาการศึกษาท่าไหนดีจึงจะบรรลุถึงสิ่งที่ชาวโลกเขากำลังเดินไป จึงขอฝากข้อมูลเหล่านี้ไว้เพื่อประกอบการพิจารณาของนักปฏิรูปการศึกษา .. ไม่ใช่ไม่ใช่ .. นักพัฒนาการศึกษาด้วย


                   เราเหลาะแหละต่อไปไม่ได้แล้ว และช้ากว่านี้อีกไม่ได้แล้ว.

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ว่าด้วยยุทธศาสตร์ชาติ

นายปกรณ์ นิลประพันธ์
กรรมการร่างกฎหมายประจำ
(นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ)
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

                   ช่วงหนึ่งถึงสองเดือนที่ผ่านมานี้มีการวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดเกี่ยวกับ “ยุทธศาสตร์ชาติ” กันอย่างมากมาย และมีการเสนอให้มีกฎหมายว่าด้วยยุทธศาสตร์ชาติขึ้นด้วย โดยมุ่งหวังว่าถ้ามีกฎหมายว่าด้วยยุทธศาสตร์ชาติขึ้นแล้ว สิ่งนี้จะทำให้ประเทศไทยเราหลุดพ้นจากกับดักต่าง ๆ นา ๆ บรรดาที่ทำให้เราเชื่องช้ากว่าเพื่อนบ้านได้

                   อย่างไรก็ดี เมื่อผู้เขียนอ่านคำอธิบายของผู้เสนอรวมทั้งข้อวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้ตามสื่อมวลชนต่าง ๆ แล้วก็ให้เกิดความสงสัย เพราะอยู่ ๆ ก็จะกำหนดให้มียุทธศาสตร์ชาติขึ้น โดยไม่มีใครกล่าวถึงสิ่งที่ต้องคิดถึงหรือกำหนดขึ้นก่อนที่จะจัดทำยุทธศาสตร์ชาติขึ้นมา ซึ่งได้แก่ “วิสัยทัศน์ของชาติ”

                   ในทางตำรา วิสัยทัศน์ (Vision) ต่างจากยุทธศาสตร์ (Strategy) โดยวิสัยทัศน์คือตำแหน่งหรือภาพของประเทศหรือองค์กรที่จะเป็นในอนาคตต่อไปข้างหน้า ซึ่งจะสั้นหรือยาวก็สุดแล้วแต่ แต่โดยมากจะยาวหน่อยเพราะการดำเนินการเพื่อเปลี่ยนลุคของประเทศหรือองค์กรให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์นั้นต้องใช้เวลาในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเรื่องต่าง ๆ มากมาย ยกตัวอย่างประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างมาเลเซียเขากำหนดวิสัยทัศน์ของประเทศมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๔ ที่รู้จักกันว่า “วิสัยทัศน์ ๒๐๒๐” ว่า เขาจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วภายในปี ค.ศ. ๒๐๒๐ (๒๕๖๓) เป็นต้น

                   ส่วนยุทธศาสตร์หรือที่นักวิชาการด้านบริหารจัดการเรียกอีกนัยหนึ่งว่า “แผนกลยุทธ์” นั้นหมายถึงแผนปฏิบัติการโดยรวมเพื่อให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ที่วางไว้ และเมื่อมียุทธศาสตร์แล้ว ก็จะมีการกำหนด “ยุทธวิธี” (Tactics) หรือที่นักการบริหารจัดการเรียกว่า “กลวิธี” ซึ่งเป็นวิธีการในรายละเอียดที่จะต้องนำมาใช้เพื่อให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ที่กำหนดอีกทอดหนึ่ง

                   ไหน ๆ ยกตัวอย่างมาเลเซียแล้ว ผู้เขียนขออนุญาตถ่ายทอดข้อความส่วนหนึ่งที่ YAB Dato’ Seri Dr. Mahathir Mohamad ได้แถลงเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ ๒๐๒๐ ต่อสภาธุรกิจชาวมาเลเซีย (Malaysian Business Council) เป็นภาษาไทย ดังนี้
                   “...[ข้าพเจ้า]หวังเป็นอย่างยิ่งว่าชาวมาเลเซียซึ่งเกิดในวันนี้และในปีหนึ่งข้างหน้านี้ (๒๕๓๕) จะเป็นพลเมืองยุคสุดท้ายที่จะเกิดในยุคที่ประเทศของเราเป็น “ประเทศกำลังพัฒนา.” เป้าหมายสุดท้ายที่เราพึงมีร่วมกันคือมาเลเซียต้องเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสมบูรณ์แบบภายในปี ๒๐๒๐ (๒๕๖๓).
                   พวกท่านอาจมีคำถามว่าการเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสมบูรณ์เป็นอย่างไร. ต้องถามกลับว่าเราต้องการที่จะเป็นอย่างประเทศ ๑๙ ประเทศที่เขาจัดว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วหรือไม่. เราต้องการเป็นอย่างสหราชอาณาจักร อย่างแคนาดา อย่างฮอลแลนด์ อย่างสวีเดน อย่างฟินแลนด์ หรืออย่างญี่ปุ่นหรือไม่. แน่นอนว่าทั้ง ๑๙ ประเทศจากทั้งหมดในโลกนี้กว่า ๑๖๐ ประเทศนั้นเขาต่างก็มีความเข้มแข็ง. แต่เขาต่างก็มีจุดอ่อนเช่นกัน. เราจึงสามารถที่จะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้โดยไม่จำเป็นต้องเลียนแบบเขาทั้งหมด. แต่เราควรต้องเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในรูปแบบของเราเอง.
                   มาเลเซียต้องไม่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ. หากเราต้องเป็นชาติที่พัฒนาแล้วอย่างสมบูรณ์ในทุก ๆ มิติ: เศรษฐกิจ การเมือง สังคม ความเข้มแข็งของชนในชาติ จิตวิญญาณ และวัฒนธรรม. เราต้องพัฒนาแล้วอย่างสมบูรณ์ในแง่ความเป็นเอกภาพของชนในชาติและความเชื่อมโยงของผู้คนในสังคมทั้งในด้านเศรษฐกิจ ความเป็นธรรมในสังคม ความมีเสถียรภาพทางการเมือง ระบบการปกครอง คุณภาพชีวิต สังคม และจิตวิญญาณ ตลอดจนมีความภูมิใจและเชื่อมั่นในชาติของเรา. ...”

                   เมื่อวางวิสัยทัศน์ของประเทศที่เป็นที่ยอมรับร่วมกันแล้ว มาเลเซียจึงไปกำหนดยุทธศาสตร์และยุทธวิธีเพื่อให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ที่ว่านั้น ซึ่งผู้เขียนมีข้อสังเกตว่าการที่มาเลเซียสามารถวางและดำเนินการให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ของเขาได้นั้น “ความมีเสถียรภาพทางการเมือง” ของมาเลเซียเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะพรรคอัมโน (United Malay National Organization: UMNO) เป็นแกนหลักของพรรคร่วมรัฐบาลมาเลเซียมาตั้งแต่ปี ๑๙๔๖ (๒๔๘๙) และนายกรัฐมนตรีมาเลเซียก็มาจากพรรคนี้นับแต่นั้นเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน  ทั้งนี้ ลักษณะเฉพาะดังกล่าวก็ปรากฏในสิงคโปร์ซึ่งทำให้รัฐบาลสามารถกำหนดวิสัยทัศน์และดำเนินยุทธศาสตร์ชาติได้อย่างต่อเนื่อง

                   สำหรับประเทศไทย ผู้เขียนเห็นว่าที่ผ่านมาเรายังไม่มีวิสัยทัศน์การพัฒนาประเทศที่ชัดเจน คงมีเฉพาะนโยบายของรัฐบาลในระยะสั้น ๆ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติซึ่งมีอายุ ๕ ปี เท่านั้น ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนจึงไม่ทราบว่าประเทศของเราจะมีภาพอย่างไรในอนาคต การดำเนินงานของภาคส่วนต่าง ๆ จึงเป็นไปอย่างไร้ทิศทาง ขาดการประสานความร่วมมือเพื่อดำเนินการให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน อีกทั้งการเมืองไทยยังไม่มีเสถียรภาพเพียงพอที่จะทำให้เกิดความมั่นใจได้ว่าเราจะเดินไปสู่จุดไหนซึ่งแตกต่างจากกรณีมาเลย์เซีย สิงคโปร์ และชาติอื่นในภูมิภาค กรณีจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการกำหนดวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ชาติให้ชัดเจนเพื่อให้ทุกหมู่ทุกฝ่ายดำเนินการให้เป็นไปตามทิศทางนั้น

                   ปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปก็คือ ใครควรเป็นผู้กำหนดวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ชาติ ในทัศนะของผู้เขียน การกำหนดวิสัยทัศน์ของประเทศ รวมทั้งยุทธศาสตร์ชาติและยุทธวิธีที่จะทำให้เป็นไปตามที่กำหนดนั้นเป็นเรื่องในทางบริหารโดยแท้ เพราะฝ่ายบริหารมี “ความรับผิดชอบที่จะบริหารประเทศเพื่อความผาสุกของอาณาประชาราษฎร์” แต่การกำหนดดังกล่าวก็ต้องเป็นที่ยอมรับของประชาชนด้วย ซึ่งผู้เขียนเชื่อโดยสุจริตว่าถ้าฝ่ายบริหารกำหนดวิสัยทัศน์ของประเทศและยุทธศาสตร์ชาติเพื่อความผาสุกของประชาชนแล้ว ย่อมได้รับความเห็นชอบจากประชาชน โดยไม่ต้องตั้งคณะกรรมการหรือหน่วยงานใหม่ ๆ ขึ้น สำหรับการกำหนดยุทธวิธีหรือกลวิธีนั้น ควรต้องดำเนินการโดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม ซึ่งปัจจุบันก็มีกลไกหรือช่องทางต่าง ๆ หลากหลายอยู่แล้ว ไม่จำต้องตั้งหน่วยงานใด ๆ ขึ้นใหม่


                   อนึ่ง ผู้เขียนเห็นว่าการทำให้วิสัยทัศน์ของประเทศและยุทธศาสตร์ชาติเป็นที่ยอมรับร่วมกันของประชาชนและมีความผูกพันรัฐบาลไม่ว่าจะมาจากพรรคการเมืองใดที่จะต้องปฏิบัติตาม เราสามารถใช้กลไกของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่มีอยู่แล้วสร้างผลผูกพันทางกฎหมายขึ้นได้ โดยการจัดให้มีการลงประชามติในวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายบริหารจัดทำขึ้น ซึ่งจะสร้างความรับรู้ร่วมกันของคนในชาติให้ก้าวเดินไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งมติมหาชนดังกล่าวจะมีผลบังคับโดยสภาพให้พรรคการเมือง หน่วยงานของรัฐ ภาคเอกชน และประชาชนสังคมต่างมีพันธกรณีที่จะต้องร่วมกันดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ที่ผ่านการลงประชามตินั้น และเมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกฝ่ายย่อมติดตามและตรวจสอบได้ว่ามีการดำเนินการให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์นั้นหรือไม่ หากจะต้องมีการแก้ไขยุทธศาสตร์ชาติที่ผ่านการประชามติไปแล้ว ก็จะต้องมีการทำประชามติใหม่ด้วยเพื่อสร้างความรับรู้ร่วมกันเพื่อที่ทุกฝ่ายจะได้ก้าวเดินไปในทิศทางเดียวกันเพื่อความสุขสถาพรอย่างยั่งยืนของลูกไทยหลานไทยในอนาคต.

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Translation: Thai Public Assembly Act of 2015 by Pakorn Nilprapunt

Translation[1]

PUBLIC ASSEMBLY ACT,
B.E. 2558 (2015)
                       

BHUMIBOL ADULYADEJ, REX.
Given on the 9th Day of July B.E. 2558;
Being the 70th Year of the Present Reign.

                        His Majesty King Bhumibol Adulyadej is graciously pleased to proclaim that:

                        Whereas it is expedient to have a law on public assembly;

                        Be it, therefore, enacted by the King, by and with the advice and consent of the National Legislative Assembly, as follows:


                        Section 1.      This Act is called the “Public Assembly Act, B.E. 2558”.

                        Section 2.      This Act shall come into force at the expiration of thirty days as from the date of its publication in the Government Gazette.[2]

                        Section 3.      This Act shall not apply to the following public assemblies:
                        (1)    assembly on the course of Royal Ceremony or State Ceremony;
                        (2)    assembly on the course of religious rituals, traditional activity or local culture;
                        (3)    assembly in entertainment, sport or tourism promotion event, or any other activity being held for commercial purpose of the promoter;
                        (4)    assembly within education institution;
                        (5)    assembly or public gathering under the provisions of law or academic meeting or seminar of any education institution or any agency for academic purpose;
                        (6)    public assembly while the State of Emergency is declared or while the Martial Law is applied and public assembly being held for the purpose of campaigning during an election period shall comply with the law related thereto.

                        Section 4.      In this Act:
                        “Public assembly” means an assembly of individuals in public place so as to express their common petition, support, opposition or opinion on any matter to the public and any individual is able to attend such assembly freely irrespective of whether such assembly composing of public procession or marching;
                        “Public place” means a piece of land or a construction which is State’s property for public use or preserved for public utilization or which is not belong to State agency but being in possession of or used by State agency and the people is able to enter therein legally, including highway and public way;
                        “Highway” means the highway under the law on highway;
                        “Public way” means any way or waterway used by the public, including rail of any rail system used for public transportation;
                        “Promoter” means a person who causes to have public assembly, and includes a person who desires to promote public assembly and a person who actively encourages or begs another to attend public assembly by expressing or behaving any act to convince another that he is an promoter or co-promoter of that assembly;
                        “Participant” includes a promoter and a person participating public assembly irrespective of whether such person attends public assembly upon an encouragement or begging of the promoter;
                        “State agency” means a government agency, State enterprise, government organization, public organization, local administrative organization, Constitutional organization and other State agencies;
                        “Authority” means the chief of police station of the area where public assembly is to be held or any other person entrusted as authority under this Act;
                        “Minister” means the Minister having charge and control of the execution of this Act.

                        Section 5.      The Prime Minister shall have charge and control of the execution of this Act and shall have the power to issue the notification for the execution of this Act.
                        Such notification shall come into force upon its publication in the Government Gazette.

Chapter 1
General Provisions
                       

                        Section 6.      Public assembly shall be in peaceful manner and without arms.
                        The exercise of rights and liberties of a participant in any public assembly shall be subjected to the scope of rights and liberties as provided by the Constitution and law.

                        Section 7.      No public assembly shall be held within the radius of one hundred and fifty meters from the boundary of the Grand Palace, Royal Palace, Royal Residence of the Heir to the Throne or of His or Her Royal Highness Prince or Princess, Royal Palace Up-Country or Royal Mansion or from the place where the King, the Queen, the Heir to the Throne or His or Her Royal Highness Prince or Princess stays or resides, or from the place of Royal Visitors.
                        No public assembly shall be held within the National Assembly, the Government House and the Courts; provided that, the specific place for public assembly is provided therein.
                        The Courts under paragraph two mean the Constitutional Court, the Court of Justice, the Administrative Court, the Military Court and other Courts established by law.
                        In case of necessary and for the maintenance of public safety and public order, the Commissioner General of the Royal Thai Police or his entrusted person shall, after having considered the numbers of participant and related circumstances of each public assembly, have the power to notify no public assembly zone within the radius of not exceeding fifty meters from the boundary of the places under paragraph two.

                        Section 8.      No public assembly shall obstruct gateway of, impede the performance of duties of, or hinder access to service of, the followings:
                        (1)    State agencies’ office;
                        (2)    airport, wharf, rail station or any other public transport station;
                        (3)    hospital, education institution and religious establishment;
                        (4)    embassy or consulate of foreign State or office of international organization;
                        (5)    other places as notified by the Minister.

                        Section 9.      A State agency may provide specific place for public assembly.
                        The provision of the specific place for public assembly under this section is not prejudice to the liberty of the people to organize public assembly in any other public place.
                        The provisions of Chapter 2, Notification of Public Assembly, shall not apply to the public assembly held within the place under paragraph one.

Chapter 2
Notification of Public Assembly
                       

                        Section 10.   Whoever intends to cause to have public assembly shall notify the authority at least twenty four hours prior to begin that public assembly.
                        It shall be deemed that the person who encourages or begs another by any means to attend public assembly on specific date, time and place as well as the applicant for the use of public place or amplifier for public assembly or who requests for official facilitation for public assembly is a person who desires to cause to have public assembly under paragraph one.

                        The notification shall identify objective of, and date, time and place for, public assembly in accordance with the procedure notified by the Minister.  Such procedure shall be facilitative and shall also be made via information technology.

                        Section 11.   The authority shall, upon receiving of public assembly notification, send summary of public assembly under this Act to the person who made that notification within twenty four hours as from the time he received that notification.
                        In the case where the authority is of opinion that such notification may be contrary to section 7 or section 8, he shall order the person who made that notification to act in compliance therewith within specific period.
                        If the person who made notification fails to comply with the order under paragraph two, the authority shall have the power to prohibit that public assembly and shall notify that person in writing.
                        If the person who made notification does not agree with the order of the authority under paragraph three, he shall appeal against such order to the superintendent of that authority.  The superintendent shall in this case complete and notify his decision on such appeal to the appellant within twenty four hours.  The decision on such appeal shall be final.[3]
                        If suspension order is given, no public assembly shall be held during an appeal procedure.

                        Section 12.   If the person who intends to cause to have public assembly is unable to make notification within the period under section 10, he shall notify his intention together with an application for extension of such period to the Commander of police of Bangkok Metropolitan or Commander of police of each Changwat,[4] as the case may be, prior to begin that public assembly.
                        The provisions of section 10 paragraph three shall apply to the notification under paragraph one mutatis mutandis.
                        The Commander of police under paragraph one shall notify his order to the applicant for information within twenty four hours as from the time he receives the application.

                        Section 13.   The authority under section 11 and the Commander of police under section 12 shall be the competent official under the Criminal Procedure Code.

                        Section 14.   The public assembly held in violation of section 6 or without notification under section 10 or in contrary to the order of the authority under section 11 or after the applicant receives the written order of refusing the extension of the notification period under section 12 shall be deemed illegal public assembly.

Chapter 3
Duties of Promoter and Participant
                       

                        Section 15.   A promoter shall have the duties as follows:
                        (1)    overseeing and supervising public assembly to be in peaceful manner and without arms within the scope of the rights and liberties under the Constitution;
                        (2)    overseeing and supervising public assembly from being obstacle of the public in using of public place immoderately, and overseeing and supervising the participant to act in compliance with section 16;
                        (3)    making the participant known of his duties under section 16 as well as conditions or orders imposed by the surveillant officer;
                        (4)    providing cooperation with the surveillant officer for the accomplishment of (1) and (2);
                        (5)    refraining from encouraging, inciting or inducing participant to violate section 16;
                        (6)    not using amplifier for public speaking or for doing any activity during 24.00 hours to 06.00 hours;
                        (7)    not using electric amplifier with power or pitch as notified by the Commissioner General of the Royal Thai Police.

                        Section 16.   A participant shall have the duties as follows:
                        (1)    not being obstructed the public from using of the public place where the public assembly is held or causing unreasonable inconvenience to any person;
                        (2)    not being dressed to conceal or camouflage himself from being identified intentionally; provided that, there is usual traditional dressing;
                        (3)    not taking any weapon, firework, replica gun or anything that may be used as weapon into the place where public assembly held irrespective of whether he is licensed to bare such thing;
                        (4)    not trespassing of, or damaging, destroying or causing unusable of, property of other persons;
                        (5)    not placing any person in the state of fear of injury to his life, body, property or liberty;
                        (6)    not committing any act of violence or threatening to cause injury to other participants or any other person;
                        (7)    not obstructing or doing any act which may obstruct the performance of duties of the competent official in rendering facilitation to the public in using of the public place or in taking care of that public assembly;
                        (8)    not conducting public precession or marching during 18.00 hours to 06.00 hours; provided that, permission granted by the surveillant officer;
                        (9)    complying with the conditions imposed by, or order of, the surveillant officer.

                        Section 17.   If no public procession or marching has been included in the public assembly notification, the public procession or marching may be conducted only if the notification thereon has been made to the chief of the police station who is responsible for that public assembly.

                        Section 18.   A participant shall adjourn the public assembly within the period in which the promoter notified to the authority.
                        If the promoter desires to continue public assembly, he shall notify such extension to the authority within twenty four hours prior to the expiration of the period under paragraph one.

Chapter 4
Public Facilitation and Surveillance of Public Assembly
                       

                        Section 19.   The chief of police station of the area where public assembly is held shall surveille that public assembly to be compliant with this Act and shall notify the administrative officer who is responsible for, or the local administration organization of, the area where that public assembly is held or public relation agency of State or private in that area for their information.
                        In the case where public assembly covers responsible area of many police stations, the police commander or the commissioner, as the case may be, who is responsible for those area shall be surveillant officer under paragraph one.
                        The Commissioner General of the Royal Thai Police may, if he thinks fit, appoint another police officer to be additional surveillant officer or to be in place of the surveillant officer under paragraph one or paragraph two.
                        The surveillant officer shall, in order to maintain public facilitation, to surveil public assembly and to protect public order or good moral, have the following powers and duties:
                        (1) to provide facilitation to the public in using of the public place in which public assembly is held;
                        (2) to provide safety, facilitation or lessening nuisance to the people living nearby the public place in which public assembly is held;
                        (3) to provide safety and facilitation to the participant presenting in public assembly;
                        (4) to provide facilitation to traffic and public transportation in the place where public assembly is held as well as the adjacent area with a view to lessen impacts to public caused by that public assembly;
                        (5) to impose condition or order to be complied with by the promoter, the participant or any other person staying within the place where the public assembly is held for the performance of duties under (1), (2), (3) or (4).
                        For the performance of duties under this section, the surveillant officer may temporarily close or divert traffic in any public way so as to maintain public facilitation or to surveil public assembly.
                        The administrative officer or local administration organization or State official in the area where the public assembly is held shall, upon request of the surveillant officer, act in compliance with such request if so is subjected to his powers and duties.
                        The surveillant officer and police officer to be entrusted to surveil public assembly shall obtain training to have good skill, attitude and endurance on public assembly and shall wear uniform.  The surveillant officer may apply crowded control equipment as notified by the Minister.

                        Section 20.   The Royal Thai Police and public relation agency of State shall, before, during and after public assembly, conduct or coordinate with others to inform the public, from time to time, the place and duration of public assembly as well as the most comfortable traffic or public transportation route so as to ensure that that public assembly produces unnecessary burden to the public as little as possible.

                        Section 21.   If there is an illegal public assembly under section 14 or the promoter or participant violates section 7 or fails to comply with section 8, section 15, section 16, section 17 or section 18, the surveillant officer shall:
                        (1) in case of illegal public assembly under section 14 or public assembly is not adjourn within the period as notified to the authority under section 18, notice the participant to adjourn that public assembly within the period as imposed by the surveillant officer;
                        (2) in the case where the promoter or participant violates section 7 or fails to comply with section 8, section 15, section 16, section 17 or section 18, notice the participant to make correction within the period as imposed by the surveillant officer.
                        In the case where the participant fails to comply with the notice under paragraph one, the surveillant officer shall request the Civil Court or Changwat Court having jurisdiction over the place where the public assembly is held for the order to adjourn that public assembly.  In awaiting the Court’s order, the surveillant officer shall have the power to do any necessary act in accordance with the plan or guideline for surveillance of public assembly as approved by the Council of Ministers upon recommendation of the Royal Thai Police so as to maintain public facilitation and to protect public assembly.
                        The plan or guideline for surveillance of public assembly under paragraph two shall request the surveillant officer to refrain from using of force.  In the circumstance that the use of force is unavoidable, the use of force and the application of crowded control equipment shall be done necessarily.
                        The performance of the surveillant officer under this section is not prejudice to the right of other person who suffers or damages from that public assembly to request the Civil Court or Changwat Court having jurisdiction over the place where the public assembly is held for the order to adjourn that public assembly.

                        Section 22.   The Court shall, upon receiving the request under section 22, consider that request urgently.
                        If it appears to the Court that the participant fails to comply with the notice of the surveillant officer made under section 21, the Court shall have an order altogether with the decree to enforce such order requiring the participant to adjourn that public assembly within the period as imposed by the Court.
                        The order of the Court under paragraph two may be appealed to the Appeal Court or Regional Appeal Court.  The order of the Appeal Court or Regional Appeal Court shall be final and conclusive.
                        The execution officer shall post up the order of the Court at the place which is easily seen around the area where public assembly is held and shall notify that order in any manner whatsoever so as to make it known to the participant and the general public.

                        Section 23.   If the participant fails to comply with the Court order within the period imposed therein, the surveillant officer shall report the Court for information and notify the area where the public assembly is held and its vicinity as necessary as the restricted area.  The surveillant officer shall inform the participant to leave the restricted area within the imposed period and prohibit any person from entering the restricted area without permission of the surveillant officer.  The surveillant officer shall then report the Minister for information.
                        The Commander of the Metropolitan Police in Bangkok Metropolitan or Changwat Governor in other Changwat or any person entrusted by the Minister shall, upon the notification of the restricted area under paragraph one, have charge and control to disperse that public assembly in compliant with the Court’s order.
                        In case of necessity, the Minister may entrust other person to have charge and control to disperse that public assembly.

                        Section 24.   After the expiration of period to leave the restricted area, if the participant still be in that area or enters into that area without permission of the surveillant officer, that person is deemed to commit flagrant offense and the person having charge and control to disperse the public assembly or his entrusted person shall disperse that public assembly in compliant with the Court’s order.  In this regard, the person having charge and control to disperse the public assembly or his entrusted person shall have the powers as follow:
                        (1) to arrest any person who still be in that area or enters into that area without permission of the surveillant officer;
                        (2) to search, seize, attach or remove any property which is used or having for use in that public assembly;
                        (3) to do any necessary act in accordance with the plan or guideline for surveillance of public assembly under section 21;
                        (4) to have any prohibition order for the benefit of dispersion of public assembly.
                        The provisions of section 19 paragraph seven shall apply to the person who performs the duty under paragraph one mutatis mutandis.

                        Section 25.   In the case where the participant commits any violent and harmful act which may affect life, body, mentality or property of others and may give rise to public unrest, the surveillant officer shall have the power to order the participant to stop doing such act.  If the participant fails to comply with such order, the surveillant officer and the person having charge and control to disperse the public assembly and his entrusted person shall have the power to proceed with section 23 and section 24.
                        The participant who does not agree with the order under paragraph one may oppose that order to the Civil Court or Changwat Court having jurisdiction over the area where the public assembly is held within thirty days as from the date that order is made.  The order of the Court under this section may be appealed to the Appeal Court or Regional Appeal Court.  The order of the Appeal Court or Regional Appeal Court shall be final and conclusive.

                        Section 26.   The surveillant officer, the person having charge and control to disperse the public assembly and his entrusted person or any person who acts in compliance with the order of such persons shall be the official under the Penal Code and shall also be the administrative officer or police under the Criminal Procedure Code.

Chapter 5
Penalties
                       

                        Section 27.   Whoever violates section 7 or section 8 shall be liable to imprisonment for a term of not exceeding six months or to a fine of not exceeding ten thousand Baht or to both.

                        Section 28.   Whoever violates section 10, section 12, section 17 or section 18 shall be liable to a fine of not exceeding ten thousand Baht.

                        Section 29.   Whoever violates the public assembly prohibition order or causes to have public assembly during the period the public assembly prohibition order is valid under section 11 shall be liable to imprisonment for a term of not exceeding six months or to a fine of not exceeding ten thousand Baht or to both.

                        Section 30.   A promoter who fails to comply with section 15 (1), (2) or (3) or a participant who fails to comply with section 16 (1) or (2) shall be liable to a fine of not exceeding ten thousand Baht.

                        Section 31.   A promoter who fails to comply with section 15 (4), (5), (6) or (7) or a participant who fails to comply with section 16 (3), (4), (5), (6), (7) or (8) shall be liable to imprisonment for a term of not exceeding six months or to a fine of not exceeding ten thousand Baht or to both.
                        If the commission of an offense under paragraph one causes unusableness, temporarily or permanently, of public transportation system, communication or telecommunication system, generation, production or transmission system of electricity or irrigation, or any other public utility system, the promoter shall be liable to imprisonment for a term of not exceeding ten years or to a fine of not exceeding two hundred thousand Baht or to both.

                        Section 32.   Whoever fails to comply with the order or notification of the surveillant officer under section 19 (5) or section 23 and he is a promoter or participant, he shall be liable to imprisonment for a term of not exceeding one year or to a fine of not exceeding twenty thousand Baht or to both; but if he is not that sort of person but staying in the public assembly area, he shall be liable to a fine of not exceeding ten thousand Baht.
                        The Court may, upon appropriate ground, impose a penalty on the offender less than the penalty as prescribed above or lift up penalty thereto.

                        Section 33.   Whoever fails to comply with the order of the person having charge and control of the dispersion of public assembly under section 23 or section 25 shall be liable to imprisonment for a term of not exceeding three years or to a fine of not exceeding sixty thousand Baht or to both.
                        The Court may, upon appropriate ground, impose a penalty on the offender less than the penalty as prescribed above or lift up penalty thereto.

                        Section 34.   A person who is not entrusted by the surveillant officer or the person having charge and control of the dispersion of public assembly or his entrusted person to perform the duties under this Act takes any weapon into the public assembly place, regardless of his license to carry out that weapon, shall be liable to imprisonment for a term of not exceeding three years or to a fine of not exceeding sixty thousand Baht or to both.
                        If the weapon under paragraph one is a gun, explosive or alike, the offender shall be liable to imprisonment for a term of not exceeding five years or to a fine of not exceeding one hundred thousand Baht or to both.

                        Section 35.   All properties used or to be used in public assembly which is seized from an illegal public assembly or a public assembly in violation of adjourning order of the Court shall be confiscated by the Court irrespective of whether there is a convict under the judgment of the Court.


Countersigned by:
         General Prayut Chan-o-cha
                  Prime Minister




[1]©2015 Pakorn Nilprapunt, Full-time Law Councilor, Office of the Council of State of the Kingdom of Thailand. Personal copyright <pakorn.nilprapunt@gmail.com>
Remark:  Reference to Thai legislation in any jurisdiction shall be made to the Thai version only. 
[2]Published in the Government Gazette Vol. 132 part 63 Kor, dated 14th July B.E. 2558 (2015)
[3]Under Thai legal system, the decision of the superintendent in this case shall not be appealed further within the Administrative.  The appellant who does not satisfy with such appeal decision however still have the right to bring the case against such appeal decision to the court.
[4]Province in Thai