ผู้เขียนพบบทความที่น่าสนใจของ Jack Karsten และ Darrell M. West ใน Brookings blog เกี่ยวกับความบกพร่องทางเทคโนโลยีกับข้อพิจารณาทางกฎหมายที่เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เห็นว่าน่าสนใจมากจึงนำมาเล่าสู่ท่านผู้อ่าน เพื่อจะได้ขบคิดหาทางคิดอ่านแก้ปัญหากันเสียแต่เนิ่น ๆ
ในปัจจุบันนี้การเชื่อมต่อในระบบ wireless LAN (เครือข่าย Wi-Fi) ความความเสถียรมากพอสมควร แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะ "ล่ม" เอาดื้อ ๆ ถ้าเป็นการทำงานปกติหรือเป็นประชุมแบบ video calls ผลที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียงงานหรือการประชุมนั้นต้องหยุดชะงักไปชั่วคราว แต่ถ้ามีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาแล้วระบบมันเกิด "ล่ม" แน่นอนว่ามันย่อมกระทบต่อทั้งนักโทษ ความปลอดภัยสาธารณะ และกระบวนการยุติธรรมโดยรวมทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีการใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้กระทำผิดซึ่งอยู่ระหว่างการภาคทัณฑ์หรือคุมประพฤติ
อุปกรณ์ที่ว่านี้เริ่มใช้ในสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1990 เพื่อใช้ในการแก้ปัญหานักโทษล้นเรือนจำ จากผลการศึกษาของ Pew Research Center
มีการใช้เครื่องมือติดตามตัวผู้กระทำผิดเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 140 ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 2005-2015 (2548-2558) โดยเครื่องมือติดตามนี้มีศักยภาพที่จะเฝ้าติดตามผู้กระทำผิดที่อยู่นอกเรือนจำได้อย่างปลอดภัย โดยเครื่องมือนี้ใช้งานผ่านสัญญาณวิทยุที่ถูกส่งเชื่อมโยงถึงกันระหว่างอุปกรณ์รัดข้อเท้า
(ankle device) กับหน่วยฐาน (base unit) ซึ่งหากอุปกรณ์รัดข้อเท้าอยู่ห่างไกลจากหน่วยฐาน สัญญาณวิทยุก็จะถูกส่งแจ้งเตือนไปยังเจ้าหน้าที่
อีกทั้งเครื่องมือติดตามนี้ยังอาศัยเทคโนโลยีจีพีเอส
(GPS)
ในการช่วยติดตามและตรวจพบตำแหน่งที่ตั้งของอุปกรณ์รัดข้อเท้าของผู้ที่สวมใส่ด้วย
อย่างไรก็ดี แม้ว่าเครื่องมือติดตามตัวผู้กระทำผิดจะถูกนำมาใช้เพิ่มมากขึ้น
แต่กลับยิ่งพบถึงความบกพร่องของเครื่องมือดังกล่าวมากขึ้น
โดยในปี ค.ศ. 2011 (2554) พบว่า เจ้าหน้าที่ของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย (California officials)
ได้เคยทำการทดสอบเครื่องมือติดตามตัวผู้กระทำผิดทางเพศที่มีความเสี่ยงสูงจำนวน 4,000 คน รวมถึงสมาชิกของกลุ่มผู้กระทำผิดต่าง ๆ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเครื่องมือติดตามตัวผู้กระทำผิด คือ แบตเตอรี่หมด เกิดอาการแตกหักหรือชำรุด การแจ้งเตือนล้มเหลว รวมทั้งการเชื่อมต่อสัญญาณที่อยู่ห่างไกลมีความขัดข้อง
เป็นต้น นอกจากนี้ เจ้าพนักงานคุมประพฤติยังถูกแจ้งเตือนในแต่ละวันเป็นจำนวนมากอันนำไปสู่ความวิตกกังวลว่าการติดตามตัวผู้กระทำผิดอาจเกิดการตกหล่นหรือสูญหายขึ้น
ข้อกังวลเกี่ยวกับการใช้งานเครื่องมือติดตามตัวผู้กระทำผิดไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่
ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียเท่านั้น ในมลรัฐเทนเนสซีก็ปรากฏข้อเท็จจริงว่า การแจ้งเตือนจากเครื่องมือติดตามตัวผู้กระทำผิดประมาณร้อยละ 80 ไม่ได้รับการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่รัฐ และเหตุการณ์ลักษณะนี้ก็เคยเกิดขึ้นในมลรัฐโคโลราโด และมลรัฐนิวยอร์ก เช่นเดียวกัน ในขณะที่มลรัฐฟลอริดาพบปัญหาว่าเจ้าหน้าที่รัฐหยุดให้มีการแจ้งเตือนตามเวลาจริง (real-time notifications) ทำให้ไม่ทันสังเกตว่ามีนักโทษคุมประพฤติได้ละเมิดข้อห้ามออกจากเคหสถานในเวลาที่กำหนด (curfew) ถึง 53 ครั้งภายในหนึ่งเดือน ก่อนที่จะไปก่อเหตุฆ่าคนตายจำนวน 3 ศพ!!!
ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียเท่านั้น ในมลรัฐเทนเนสซีก็ปรากฏข้อเท็จจริงว่า การแจ้งเตือนจากเครื่องมือติดตามตัวผู้กระทำผิดประมาณร้อยละ 80 ไม่ได้รับการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่รัฐ และเหตุการณ์ลักษณะนี้ก็เคยเกิดขึ้นในมลรัฐโคโลราโด และมลรัฐนิวยอร์ก เช่นเดียวกัน ในขณะที่มลรัฐฟลอริดาพบปัญหาว่าเจ้าหน้าที่รัฐหยุดให้มีการแจ้งเตือนตามเวลาจริง (real-time notifications) ทำให้ไม่ทันสังเกตว่ามีนักโทษคุมประพฤติได้ละเมิดข้อห้ามออกจากเคหสถานในเวลาที่กำหนด (curfew) ถึง 53 ครั้งภายในหนึ่งเดือน ก่อนที่จะไปก่อเหตุฆ่าคนตายจำนวน 3 ศพ!!!
ในเวลาเดียวกัน ความบกพร่องของเครื่องมือติดตามตัวผู้กระทำผิดและความไม่เสถียรของระบบอินเตอร์เน็ตยังสร้างปัญหาให้แก่ผู้สวมใส่ด้วย
กล่าวคือ
นักโทษคุมประพฤติอาจกลายเป็นผู้ที่ฝ่าฝืนหรือละเมิดเงื่อนไขของการปล่อยตัวและอาจส่งผลให้นักโทษผู้นั้นต้องกลับเข้าสู่เรือนจำอีกครั้งหนึ่ง
เนื่องมาจากการขัดข้องทางเทคนิคในการแจ้งเตือนของเครื่องมือติดตาม อีกทั้งความบกพร่องของเครื่องมือยังอาจส่งผลกระทบต่อ "โอกาสในการทำงาน" ของผู้สวมใส่ด้วยเช่นกัน โดยในปี ค.ศ. 2011 (2554)
สถาบันแห่งชาติของกระทรวงยุติธรรม (National Institute of Justice)[*] ได้ทำการศึกษาวิจัยกรณีตัวอย่างจากผู้กระทำผิดจำนวน 5,000 ราย ที่ถูกติดตามด้วยเครื่องมือติดตามตัวผู้กระทำผิด พบว่าผู้ที่เกี่ยวข้องจำนวนมากต้องพักงานเพื่อที่จะเดินหาสัญญาณของเครื่องมือบริเวณรอบ
ๆ ที่ทำงาน อันเนื่องมาจากสัญญาณของเครื่องมือมักจะขาดหายไปอยู่บ่อยครั้ง ส่งผลให้บุคคลเหล่านี้มักจะโดนไล่ออกหรือขอให้ออกจากงานในที่สุด
นอกจากนี้
อุปสรรคทางการเงินก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการใช้เครื่องมือติดตามตัวผู้กระทำผิด อัตราค่าธรรมเนียมของเครื่องมือติดตามตัวผู้กระทำผิดที่ผู้สวมใส่ต้องชำระอยู่ที่อัตรา 10-15 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน โดยศาลบางแห่งจะพิจารณาค่าใช้จ่ายบนพื้นฐานของความสามารถของผู้ใช้เครื่องมือที่จะสามารถชำระได้
แต่สำหรับศาลบางแห่งจะพิจารณาว่า หากผู้ใช้เครื่องมือไม่สามารถชำระค่าธรรมเนียมได้ก็จะถูกส่งเข้าเรือนจำแทน
แม้ว่าการใช้เครื่องมือติดตามตัวผู้กระทำผิดจะเกิดความบกพร่องทางเทคนิคอยู่บ่อยครั้งก็ตาม
แต่ไม่พบว่ามีการกำหนดมาตรการบังคับใดไว้สำหรับระบบการเฝ้าติดตาม
โดยในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2016 (2559) สถาบันแห่งชาติของกระทรวงยุติธรรมได้เสนอรายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกำหนดข้อกำหนดขั้นต่ำ (minimum requirements)
ที่ต้องมีไว้สำหรับเครื่องมือติดตามตัวผู้กระทำผิด ทั้งนี้ รวมถึงหลักเกณฑ์ต่าง ๆ
เกี่ยวกับการทดสอบเครื่องมือเหล่านี้ด้วย แต่มาตรฐานทั้งหมดตามที่กล่าวมานั้นมิใช่มาตรการบังคับที่ต้องจัดทำ เป็นแต่เพียงมาตรการที่อาศัยความสมัครใจเท่านั้น
การกำหนดมาตรฐานและหลักเกณฑ์การทดสอบเครื่องมือติดตามตัวผู้กระทำผิดข้างต้นก่อนที่จะผลิตเครื่องมือขึ้นมาใหม่
จะช่วยป้องกันปัญหาหรือความบกพร่องต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากระบบการเฝ้าติดตามตัวผู้กระทำผิดได้ มลรัฐแคลิฟอร์เนียเป็นกรณีตัวอย่างที่เห็นได้ชัด โดยมีการออกโปรแกรมการติดตามตัวผู้กระทำผิดขึ้นในปี
ค.ศ. 2008 (2551) ด้วยการใช้เครื่องมือที่ใช้สัญญาณดาวเทียม (3M/Satellite) ในการติดตามบุคคล
และมีการทดสอบการใช้เครื่องมืออย่างเข้มงวด ผลปรากฏว่า การทดสอบสัญญาณดาวเทียมจากทั้งหมด 102 ครั้ง พบกับความล้มเหลวประมาณ 46 ครั้ง ทำให้มลรัฐแคลิฟอร์เนียต้องเร่งเปลี่ยนและทดแทนเครื่องมือที่ใช้การได้จากผู้ผลิตรายอื่นแทน
มาตรฐานและการทดสอบเครื่องมืออย่างเข้มงวดนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้หน่วยงานราชทัณฑ์หลายแห่งพิจารณาถึงการติดตามตัวผู้กระทำผิดด้วยเครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ในรุ่นถัดไป
เช่น การนำโปรแกรมของสมาร์ทโฟน (smartphone applications) มาพัฒนาจับคู่กับสายรัดข้อเท้า
หรือการนำเทคโนโลยีที่ช่วยให้สื่อสารผ่านเสียงและโปรแกรมตรวจจับและจดจำใบหน้า (voice and facial recognition technology)
มาใช้เพื่อยืนยันตัวตนผ่านทางโทรศัพท์มือถือ เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานเกิดความยืดหยุ่นขึ้นในการติดต่อประสานหรือเชื่อมโยงข้อมูลถึงกัน
แต่ทั้งนี้ มิได้หมายความว่า เทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยป้องกันการเกิดข้อผิดพลาดหรือความบกพร่องของการใช้งานเครื่องมือติดตามตัวผู้กระทำผิดแต่อย่างใด แต่ต้องอาศัยความร่วมมือในการทำงานร่วมกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายเพื่อให้เครื่องมือที่ผลิตออกมาใช้งานมีมาตรฐานอยู่ในระดับที่สูงต่อไป
ระบบอิเล็กทรอนิกส์มันรวดเร็วทันสมัย แต่ก็มีความเสี่ยงในตัวเองเหมือนกัน ต้องพิจารณาให้รอบคอบ