วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ร่าง พรบ กำหนดเวลาให้มีการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย

                                                      นายปกรณ์ นิลประพันธ์
                                                            กรรมการร่างกฎหมายประจำ
                                                                  (นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ)
                                                                สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

บันทึกหลักการและเหตุผลประกอบ
ร่างพระราชบัญญัติการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. ....
                  

หลักการ

                   ให้มีกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย

เหตุผล

                   โดยที่กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ที่ใช้บังคับแก่สังคม ประกอบกับปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อความต้องการของสังคม เช่น ทัศนคติของมหาชนในเรื่องต่าง ๆ พัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการสื่อสาร สภาพทางเศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง สิ่งแวดล้อมทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนพันธกรณีระหว่างประเทศ เป็นต้น มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ประเทศที่พัฒนาแล้วจึงดำเนินการให้มีการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของบทบัญญัติของกฎหมายอยู่เสมอ เพื่อให้บทบัญญัติของกฎหมายสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลง แต่ที่ผ่านมาประเทศไทยไม่มีมาตรการที่กำหนดให้ต้องมีการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของบทบัญญัติของกฎหมายอย่างสม่ำเสมอ กฎหมายจำนวนมากจึงมีบทบัญญัติที่ไม่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น กลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศและการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยรวม กรณีจึงสมควรกำหนดให้ผู้รักษาการตามกฎหมายต่าง ๆ มีหน้าที่จัดให้มีการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายทุกฉบับทุกรอบระยะเวลา และเพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปอย่างต่อเนื่องและจริงจัง สมควรกำหนดให้ถือว่าผู้รักษาการตามกฎหมายซึ่งไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้จงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่  จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้



ร่าง
พระราชบัญญัติ
การพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย
พ.ศ. ....
                  

.........................................
.........................................
.........................................

                   ..........................................................................
..........................................

                   โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย

                  ...........................................................................
..........................................

                   มาตรา ๑  พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. ....

                   มาตรา ๒  พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

                   มาตรา ๓  ในพระราชบัญญัตินี้
                   “กฎหมาย” หมายความว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ และกฎตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
                   “รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมาย” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา และให้หมายความรวมถึงประธานองค์กรตามรัฐธรรมนูญผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และรัฐมนตรีผู้ออกกฎตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองด้วย
                    “องค์กรที่เกี่ยวข้อง” หมายความว่า นิติบุคคลที่มีลักษณะเป็นสมาคม มูลนิธิ หรือสภาที่จัดตั้งขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือตามกฎหมายเฉพาะ
                   “คณะกรรมการพัฒนากฎหมาย” หมายความว่า คณะกรรมการพัฒนากฎหมายตามกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา

                   มาตรา ๔  เพื่อให้บทบัญญัติของกฎหมายสอดคล้องกับสถานการณ์ภายในประเทศและต่างประเทศที่มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายจัดให้มีการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เมื่อรัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายนั้น
                   (๑) เห็นว่ามีเรื่องที่จะต้องมีการปรับปรุงกฎหมายนั้นตามมาตรา ๕
                   (๒) ได้รับการร้องเรียนจากองค์กรที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายนั้น
                   (๓) ได้รับข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย
                   กฎหมายใดที่รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายไม่ได้รับหนังสือร้องเรียนหรือข้อเสนอแนะตามวรรคหนึ่ง ให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายนั้นทุกรอบระยะเวลาห้าปีนับแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ เป็นต้นไป  ทั้งนี้ เว้นแต่กฎหมายนั้นจะบัญญัติเกี่ยวกับระยะเวลาการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายไว้เป็นอย่างอื่น
                   การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายจะจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกฎหมายนั้นและประชาชนทั่วไปประกอบด้วยก็ได้

                   มาตรา ๕  ในการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย ให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายพิจารณาในเรื่องดังต่อไปนี้
                   (๑) การปรับปรุงกฎหมายเพื่อลดผลกระทบและภาระของรัฐและประชาชนที่เกิดขึ้นจากกฎหมายนั้น
                   (๒) การปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองการปกครอง วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมทั้งของประเทศและของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
                   (๓) การปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยต้องปฏิบัติตามภายใต้บังคับกฎหมายระหว่างประเทศ
                   (๔) การใช้ระบบคณะกรรมการ การอนุมัติ การอนุญาต ใบอนุญาต และระบบการจดทะเบียนเพียงเท่าที่จำเป็น
                   (๕) การให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

                    มาตรา ๖  ให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายเสนอรายงานสรุปผลการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายที่มีสาระสำคัญตามมาตรา ๕ ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบภายในกำหนดเวลา ดังต่อไปนี้
                   (๑) ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่มีกรณีตามมาตรา ๔ วรรคหนึ่ง
                   (๒) ภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ของปีถัดจากปีที่ครบรอบระยะเวลาตามมาตรา ๔ วรรคสอง
                   ในกรณีที่ปรากฏว่าสมควรต้องมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายจัดทำข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปรับปรุงกฎหมายนั้นไว้ในรายงานตามวรรคหนึ่งด้วย
                    กฎหมายใดไม่มีการใช้บังคับเกินสามปี ให้
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายชี้แจงเหตุผลการไม่ใช้บังคับกฎหมายนั้นโดยละเอียดไว้ในรายงานตามวรรคหนึ่งด้วย และให้เสนอยกเลิกกฎหมายนั้นเสีย

                   มาตรา ๗  ในการพิจารณารายงานสรุปผลการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย คณะรัฐมนตรีอาจขอให้คณะกรรมการพัฒนากฎหมายพิจารณาให้ความเห็นหรือข้อเสนอแนะเพื่อประกอบการพิจารณาก็ได้
                   ในกรณีที่เห็นสมควร คณะกรรมการพัฒนากฎหมายจะเสนอสรุปสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือพระราชบัญญัติดังกล่าว หรือจะจัดทำร่างเบื้องต้นของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือพระราชบัญญัตินั้น เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาด้วยก็ได้

                   มาตรา ๘  เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายใดแล้ว ให้มีหนังสือแจ้งรายงานดังกล่าวต่อรัฐสภาและผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อทราบด้วย และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเผยแพร่รายงานนั้นในระบบเครือข่ายสารสนเทศของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
                   ในกรณีที่องค์กรที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายเป็นผู้ร้องเรียนให้มีการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายตามมาตรา ๔ (๒) ให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายมีหนังสือแจ้งให้องค์กรดังกล่าวทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งมติคณะรัฐมนตรีตามวรรคหนึ่ง

                   มาตรา ๙  บรรดากฎหมายที่มีผลใช้บังคับภายหลังจากวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ หากมิได้บัญญัติเกี่ยวกับระยะเวลาการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายไว้เป็นอย่างอื่น ให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายจัดให้มีการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายนั้นตามพระราชบัญญัตินี้ทุกรอบระยะเวลาห้าปีนับแต่วันที่กฎหมายนั้นใช้บังคับ
  
                   มาตรา ๑๐  รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายผู้ใดไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ถือว่าจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

                   มาตรา ๑๑  ในวาระเริ่มแรก ให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายแต่ละฉบับจัดให้มีการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘

                   มาตรา ๑๒  ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้


ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ


.................................

        นายกรัฐมนตรี

วันอังคารที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2557

แอบบ่น 1

ความเห็นทางวิชาการ:
(1) กระบวนการยุติธรรมทางอาญาอันเป็นสากลนั้น "ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด" และ "ก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้" ทั้งนี้ ไม่ว่าการกระทำความผิดนั้นจะเป็นการกระทำความผิดซึ่งหน้าหรือไม่ก็ตาม - ว่าง่าย ๆ คือต้องมีการพิสูจน์กันในศาลจนปราศจากข้อสงสัยว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยได้กระทำความผิด และศาลมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่าผู้นั้นกระทำความผิดแล้ว จึงจะปฏิบัติต่อผู้ต้องหาหรือจำเลยในฐานะเป็น "ผู้กระทำความผิด" ได้
(2) แต่กระบวนการยุติธรรมของบ้านเมืองเราออกจะแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อใดที่เจ้าพนักงานจับตัว "ผู้ต้องสงสัย" ว่ากระทำความผิดได้ ก็จะนำบุคคลนั้นมาแถลงข่าวอย่างเอิกเริก ไม่ว่าจะเป็นความผิดซึ่งหน้าหรือความผิดที่ต้องมีการพิสูจน์ว่าบุคคลนั้นกระทำความผิดจริงหรือไม่เนื่องจากไม่มีผู้พบเห็นการกระทำความผิด นอกจากนี้ มักมีการยืนยันจาก "ผู้แถลงข่าว" ซึ่งก็มักจะเป็น "ผู้มีอำนาจสูงสุด" ในองค์กรนั้นอยู่เสมอว่าถูกตัวแน่นอน คนนี้กระทำความผิดแน่นอน ไม่มีแพะ ...
(3) ผู้เขียนสงสัยว่าถ้า "เจ้าพนักงาน" คนที่ "มีอำนาจสูงสุด" ในองค์กรปราศจากความเข้าใจอย่างถ่องแท้ใน "หลักกฎหมายอาญาและสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน" เช่นนี้เสียแล้ว ชาวประชาจะมั่นใจได้อย่างไรว่าองค์กรที่ท่านบังคับบัญชาอยู่นั้นจะใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายได้อย่างถูกต้องตามหลักนิติรัฐ .. และถ้าชาวประชาไทยเองยังไม่มั่นใจ .. คนอื่นเขาจะมั่นใจหรือจ๊ะหนู ๆ จ๋า ... เห็นทีต้องยัดหูฟังเพื่อฟังเพลงสุนทราภรณ์ให้สบายใจตาม "หลักการ" เสียแล้ว ..

Thai Laws: Liability for Damages Emerging from Unsafe Product by Pakorn Nilprapunt (c) 2014

Translation

LIABILITY FOR DAMAGES EMERGING FROM
UNSAFE PRODUCT ACT,
B.E. 2551 (2008)
                       

BHUMIBOL ADULYADEJ, REX.
Given on the 13th Day of February B.E. 2551;
Being the 63rd Year of the Present Reign.

                        His Majesty King Bhumibol Adulyadej is graciously pleased to proclaim that:

                      Whereas it is expedient to have the law on liability for damages emerging from unsafe product;

                        This Act contains certain provisions in relation to the restriction of right and liberty of person, in respect of which section 29 in conjunction with section 43 of the Constitution of the Kingdom of Thailand, so permit by virtue of law;

                        Be it, therefore, enacted by the King, by and with the advice and consent of the National Legislative Assembly, as follows:

                        Section 1.  This Act is called the “Liability for Damages Emerging from Unsafe Product Act, B.E. 2551 (2008)”.

                        Section 2.  This Act shall come into force as from the day following the date of its publication in the Government Gazette.[1]

                      Section 3.  If the provisions of other laws specifically prescribe the liability for damagess emerging from unsafe product and such provisions provide more protection to the injured person than the provisions of this Act, such provisions shall be prevailed.

                        Section 4.     In this Act:
                        “Product” mean all sorts of immovable property produced or imported for sale, including agricultural product and electricity, except for the product as prescribed by the Ministerial Regulation;
                        “Agricultural product” means product produced through any kind of such agriculture as paddy farming, farming, gardening, livestock rearing, aquatic animal rearing, sericulture, lac culture, mushroom cultivation, but not including natural product;
                        “Production” means make, mix, blend, improvement, assembly, invent, transformation, change, modification, selection, distribution, freezing or radiation as well as any other act done in similar character;
                        “Injured person” means a person who gets damages emerging from unsafe product;
                        “Damages” means damages emerging from unsafe product irrespective of whether there is damages to life, body, health, sanitary, mental or property, but not including damages to such unsafe product itself;
                       “Mental damages” means hurt, pain, fearfulness, concern, grief, disgrace or any other mental damages with similar nature;
                        “Unsafe product” means a product which causes or may cause damages by its production or design or by failure to provide, or providing false or unclear, method of use, maintenance, warning or information related thereto with regard to condition of such product as well as normal method of use and maintenance of such product which may be expected;
                    “Sell” means sale, distribute, dispose of or exchange for commercial purpose, including rent out, hire purchase, provision as well as giving offer, induce or exhibition show for such purpose;
                        “Import” means bring or order the product into the Kingdom for sale;
                        “Entrepreneur” means
                        (1) a producer or a person ordering the production of the product;
                        (2) an importer of the product;
                (3) a seller of product in which its producer, the person ordering the production or importer is unable to identified;
                      (4) a person who uses his name, trade name, trade mark, sign, statement or expresses by whatever means which may make another person to understand that he is a producer, a person who orders the production or an importer of the product.

                        Section 5.     All entrepreneurs shall be liable collectively to the injured person for damages emerging from unsafe product sold to the consumer without regard to their willfulness or negligence.

                        Section 6.     In calling for collective liability under section 5, the injured person or the person under section 10 shall have to prove that the injured person is damaged from the product of the entrepreneur through normal use or maintenance of such product, but he is not required to prove that such damages emerging from any act of any entrepreneur.  

                        Section 7.     The entrepreneur shall not be liable to damages emerging from unsafe product if he is able to prove that:
                        (1) such product is not unsafe product;
                        (2) the injured person knows that such product is unsafe product; or
                      (3) the damages caused by the using method or maintenance which is not comply with correct and clear method of use, maintenance, warning or information related thereto as provided by the entrepreneur.

                        Section 8.     The producer who produces the product for, and under the order of, another person shall not be liable to damages if he is able to prove that the unsafe cause of the product emerging from design of product prepared by the person who makes production order or from the compliance with the order of such person, and that unsafe cause is unforeseeable, and may not be foreseeable, by the producer.
                          The producer of any part of the product shall not be liable to damages if he is able to prove that the unsafe cause of the product emerging from design or assembly of the product or the determination of method of use, maintenance, warning or information related thereto as provided by the producer.

                     Section 9.     Any agreement between the consumer and the entrepreneur made prior to the emerging of damages to, and any ex parte notification or notice made by the entrepreneur to, waive or limit liability of the entrepreneur on damages emerging from unsafe product shall not be defense as waiver or limitation of liability for damages.
                        For the purpose of this section, the consumer shall have the same meaning as “Consumer” as defined under the law on consumer protection.

                        Section 10.  The Consumer Protection Committee and association and foundation certified by the Consumer Protection Committee under the law on consumer protection shall have the power to bring the case to the Court for and on behalf of the injured person.  In this case, the provisions relating to class action under that law shall apply mutatis mutandis.
                        The class action made for and on behalf of the injured person under paragraph one shall be exempted from all fees other than fee to be paid when the case becomes final.

                        Section 11.  Other than the compensation for wrongful act as prescribed by the Civil and Commercial Code, the Court shall have the power to determine compensation for damages in accordance with the following rules:
                        (1) compensation for mental damages resulting from body, health or sanitary damages of the injured person. If the injured person is death, husband, wife, ascendant or descendant of that person shall be entitled to compensation for mental damages;
                        (2) if it appears that the entrepreneur produces, imports or sells any product by knowing that such product is unsafe or failure to know that upon gross negligent, or the entrepreneur knows that such product is unsafe after production, import or sale, but he fails to provide appropriate measures to prevent the occurrence of damages, the Court shall have the power to order the entrepreneur to pay punitive damages in addition to actual damages determined by the Court.  The punitive damages to be determined shall be the amount at the Court thinks fit, with regard to such circumstances as degree of damages of the injured person, knowledge of the entrepreneur on unsafe cause of the product, the period the entrepreneur conceals the unsafe cause of damages of the product, reaction of the entrepreneur when he acknowledges that the product is unsafe, benefit of the entrepreneur, financial status of the entrepreneur, relief of damages provided by the entrepreneur as well as injured person’s participation in the emerging of such damages, but the total amount of the punitive damages shall not exceeding two times of the actual damages.

                        Section 12.  The claim for compensation of damages emerging from unsafe product under this Act shall be expired after the expiration of three years as from the date the injured person knows of his damages and the liable entrepreneur or ten years as from the date such product has been sold.
                        In the case where damages to live, body, health or sanitary resulting from accumulation of any substance intake into the body of the injured person or the presence of damages takes long period of time, the injured person or the person under section 10 shall claim for compensation of damages within three years as from the date the injured person knows of such damages and the liable entrepreneur, but not exceeding ten years as from the date such damages has known to him.

                      Section 13.  The negotiation on compensation between the entrepreneur and the injured person or the person under section 10, the prescription shall stay until any party cancels such negotiation.

                        Section 14.  The provisions of this Act shall not override the right of the injured person to claim compensation for damages under other laws.

                        Section 15.  The product sold to the consumer prior to the date this Act comes into force shall not be subjected to this Act.

                     Section 16.  The Prime Minister shall have charge and control of the execution of this Act and shall have the power to issue the Ministerial Regulations for the execution of this Act
                        Such Ministerial Regulations shall come into force upon their publication in the Government Gazette.


Countersigned by:
    General Surayud Chulanont
                 Prime Minister





[1]Published in the Government Gazette, Vol. 125, Part 36Kor, dated 20th February B.E. 2551 (2008).

(c) 2014 Pakorn Nilprapunt <pakorn.nilprapunt@gmail.com>