วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

“ประวัติศาสตร์” ปกรณ์ นิลประพันธ์

ผมว่าวิชาประวัติศาสตร์ (และสังคมศาสตร์) เป็นศาสตร์สำคัญไม่แพ้สะเต็มที่กำลังเห่อกันอยู่นั่น เพราะถ้าสอนเป็น เรียนเป็น ศาสตร์แขนงนี้จะทำให้เราได้เรียนรู้ว่าเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีต เกิดขึ้นจากสาเหตุใดและคลี่คลายไปเพราะอะไร และแน่นอนว่ามันทำให้เราคาดการณ์เรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นและหนทางแก้ไขปัญหาได้หากมีสถานการณ์ซ้ำรอยเดิม 

การเรียนการสอนวิชานี้จึงไม่ใช่เพียงท่องจำว่าอะไรเกิดขึ้นวันเดือนปีใดใครทำ อะไรเป็นเครื่องมือทางประวัติศาสตร์ ฯลฯ เหมือนสอนนกแก้วนกขุนทองให้พูดเรื่อยเจื้อยแบบที่เราส่วนใหญ่ทำกันมาชั่วนาตาปี แน่นอนว่าการจำนั้นเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ แต่ที่ต้องเพิ่มเติมเข้ามาคือการใช้สติและปัญญาในการ “คิดวิเคราะห์” อย่างเต็มที่ ไม่ต่างจากวิชาสะเต็ม 

สำหรับผมในฐานะเด็กสายวิทยาศาสตร์ที่มาเรียนกฎหมาย และมีอาชีพเป็นนักกฎหมายเปรียบเทียบ วิชานี้ยากกว่าสะเต็มเพราะ “บริบทของประวัติศาสตร์” นั้นเป็นพลวัตร หรือ dynamics มี “ตัวแปร” หลากหลายที่ไม่สามารถจำกัดได้และไม่สามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะสภาพสังคม ค่านิยมของสังคม รวมทั้งความคิดความอ่านของผู้คนที่แตกต่างหลากหลายกันไปในแต่ละยุคแต่ละสมัย ซึ่งเป็นอัตวิสัยหรือ subjective ถ้าเราไม่ทราบบริบทเหล่านี้อย่างแท้จริง นั่งเทียนคิดเองเออเอง ก็ยากที่จะ “เข้าใจ” ประวัติศาสตร์ได้อย่างถ่องแท้ และจะนำไปใช้อะไรไม่ได้เลย

แน่นอน เมื่อไม่รู้จักเรียนรู้จากอดีต การอยู่กับปัจจุบันจึงเป็นการอยู่บนพื้นฐานของความไม่รู้ ขาด “ความเข้าอกเข้าใจร่วมกัน” ในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เป็นภาวะที่ผู้คนอยู่กันอย่างสับสนอลหม่าน ดังนี้ การก้าวไปสู่อนาคตที่สลับซับซ้อนจึงเต็มไปด้วยความเสี่ยง

ที่เขียนมานี้ก็เป็นแต่เพียงรำพึงรำพันประสาคนมีอายุน่ะครับ เห็นเขาใช้วาทะกระทำประทุษกรรมกันและกันในการหาเสียงแล้วก็เลยคิดว่าคนจำนวนหนึ่งไม่ได้ตระหนักเลยว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นเป็น “บทเรียน” ที่เราไม่ควรทำซ้ำเพราะมันสร้างความบอบช้ำให้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่และบ้านเมืองมามากมายหลายรอบแล้ว

ชอบแบบสร้างสรรค์ครับ.



วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

“นโยบายของพักผ่อนนอนหลับ” ปกรณ์ นิลประพันธ์

นโยบายของ “พักผ่อนนอนหลับ” มีเพียงข้อเดียวคือทำอย่างไรให้พี่น้องสามารถพักผ่อนนอนหลับได้อย่างผาสุก ฝันดี

การบรรลุเป้าหมายนี้ยิ่งใหญ่มาก เพราะมันเทียบได้กับการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษทีเดียว

การจะพักผ่อนนอนหลับได้อย่างผาสุกได้นั้น ก่อนอื่นพี่น้องต้อง “ท่องอิ่มพอดี ๆ” นั่นหมายความว่า พี่น้องต้องได้รับประทานอาหารครบสามมื้อ ไม่ใช่อดมื้อกินมื้อ และต้องได้กินในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ใช่กินมากไปจนกระทั่งเกิดกรดไหลย้อน หรือแคลลอรี่เกินจนกลายเป็นพลังงานส่วนเกินที่สะสมบริเวณพุงกะทิ

ทั้งอาหารที่รับประทานเข้าไปต้องหลากหลาย และมีคุณค่าทางโชนาการที่ครบถ้วน สะอาด ถูกสุขลักษณะ ปราศจากเคมีภัณฑ์หรือยาฆ่าแมลงเจือปน 

ดังนี้ พี่น้องผู้ผลิตอาหารหรือวัตถุดิบที่จะนำมาทำเป็นอาหารจึงต้องมีความรับผิดชอบต่อพี่น้องทั้งมวล ขณะที่หน่วยงานของรัฐต้องดูแลมิให้มีการใช้เคมีภัณฑ์หรือยาฆ่าแมลงหรือสารอันตรายปนเปื้อนในวัตถุดิบที่จะนำมาใช้เป็นอาหาร กระทรวงบำรุงสุขภาพ และกระทรวงห่วงโซ่อาหาร จึงมีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้

การไม่ใช้เคมีภัณฑ์หรือยาฆ่าแมลงนี้ แม้จะทำให้ภาครัฐต้องเสียรายได้จากภาษีอากรไปบ้าง แต่มันคุ้มกับการที่พี่น้องประชาชนชาวเราจะได้มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ท้องอิ่มอย่างสบายใจ สามารถนอนหลับฝันดีได้อย่างแท้จริง จึงสอดคล้องกับวินัยทางการเงินการคลังที่มีเป้าหมายปลายทางคือความยั่งยืน

สำหรับพี่น้องที่กำลังผลิตหรือขายเคมีภัณฑ์และยาฆ่าแมลงสามารถใช้ช่องทางนี้สรรสร้างงานวิจัยและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของพี่น้องและสรรพสัตว์ทดแทนเคมีภัณฑ์และยาฆ่าแมลงได้ เรามีเงินกองทุนมากมายหลายกองสำหรับรองรับงานวิจัยเหล่านี้ รางวี่รางวัลก็มีให้ แต่ถ้าท่านไม่พัฒนาตนเอง ก็ถือว่าท่านไม่สนใจใยดีต่อชีวิต สุขภาพ และการพักผ่อนนอนหลับได้อย่างผาสุกของผู้อื่น พี่น้องก็จะไม่สนับสนุนสินค้าของท่าน และท่านก็คงจะต้องจากไปตามกลไกของตลาด 

การออกกำลังกายที่เหมาะสมและเพียงพอเป็นอีกทางหนึ่งที่จะทำให้พี่น้องพักผ่อนนอนหลับได้เต็มที่ การจัดสรรเวลาทำมาหากินไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือภาคเอกชนจึงต้องคำนึงถึงปัจจัยนี้ด้วย เราจะสนับสนุนเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องเป็นราว

นอกจากท้องต้องอิ่มอันเป็นเรื่องทางกายภาพแล้ว การจะนอนหลับฝันดีได้อย่างผาสุกต้องมี “จิตใจที่เป็นสุข” ด้วย ความเครียดทำให้จิตใจของพี่น้องไม่เบิกบานแจ่มใส แล้วจะนอนหลับอย่างมีความสุขได้อย่างไรกันเล่า

การกำจัดความเครียดให้แก่พี่น้องจึงเป็นเรื่องสำคัญ “การไม่มีรายได้” หรือมีรายได้น้อยจนไม่พอที่จะทำให้ท้องอิ่มนี่เป็นความเครียดอย่างหนึ่ง แก้ได้ด้วยการที่ทำให้พี่น้องมีความสามารถในการหารายได้ตามความถนัดความชอบของแต่ละคน กระทรวงอนาคตของชาติจึงมีบทบาทสำคัญยิ่งในเรื่องนี้ กระทรวงนี้ต้องทำให้พี่น้องซึ่งเป็นอนาคตของชาติมีความใฝ่รู้ กระตือรือล้นที่จะพัฒนาความรู้ความสามารถและทักษะในการดำรงชีวิตตามความถนัดของแต่ละบุคคล แทนการสร้างให้ลูกหลานของพี่น้องมีความรู้ความสามารถเชิงเดี่ยวสายวิทย์ สายศิลป์ หรือสายช่าง อย่างที่ทำต่อ ๆ กันมาเป็นสิบ ๆ ปี ซึ่งไม่สอดคล้องกับทิศทางการหารายได้แห่งอนาคตกาลที่ division of labor กลายเป็นความทรงจำที่จืดจางลงไปทุกที

กระทรวงการพัฒนาความสามารถในการทำงานเป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่ต้องทำให้พี่น้องตระหนักว่าทุกงานทุกอาชีพมีศักดิ์ศรี ไม่มีอาชีพใดต่ำต้อยด้อยค่ากว่าอาชีพใด เพราะทุกอาชีพล้วนพึ่งพาอาศัยกัน ศัลยแพทย์ฝีมือเลิศยังคงต้องกินข้าวที่คนขายอาหารทำขาย ยังต้องตัดผมกับช่างตัดผม ลางทีอาจต้องขึ้นแท็กซี่เพื่อเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง ฯลฯ นอกจากนี้แล้ว กระทรวงนี้ยังต้องร่วมกับกระทรวงอนาคตของชาติส่งเสริมการพัฒนาอาชีพใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับโลกอนาคตด้วย


ข้าพเจ้าจำนโยบายและวิธีการไปสู่เป้าหมายของพักผ่อนนอนหลับได้เพียงเท่านี้เนื่องจากต้องตื่นเพราะธรรมชาติเรียกร้อง

ถ้าฝันใหม่แล้วต่อเนื่องกับเรื่องเดิมนี้ จะมาเล่าให้ฟังต่อไป.