ในทางตำรา
“แบบกฎหมาย” หมายถึงรูปแบบ (Formalities) ของกฎหมายที่มีการจัดโครงสร้างเป็นหมวดหมู่
(Arrangement) มิใช่การใช้ถ้อยคำในกฎหมายอันเป็นเรื่องวิธีการเขียน
(Style) เพื่อให้ตัวบทกฎหมายเป็นตัวกลาง (medium) ในการสื่อสาร (Communicate) ให้ผู้อ่านมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของกฎหมายหรือสิ่งที่ผู้ร่างกฎหมายต้องการให้ปฏิบัติตาม
ในระบบกฎหมายไทยนั้น
หลักฐานการวางแบบกฎหมายมีการบันทึกไว้เป็นเรื่องเป็นราวในปี 2488 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 ยังมีผลใช้บังคับ โดยกองนิติธรรม
แผนกกฎหมาย กรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมีบันทึกลงวันที่ 12 ธันวาคม 2488 สรุปความได้ว่า
ขณะนั้นมีพระราชกฤษฎีกาและพระราชบัญญัติที่จะต้องถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยหลายฉบับ
ประกอบกับคณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดินพ้นจากหน้าที่แล้ว
แบบกฎหมายจึงควรเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ผู้ช่วยเลขาธิการคณะรัฐมนตรีในขณะนั้น (หลวงชำนาญอักษร) จึงได้ส่งแบบร่างพระราชบัญญัติและร่างพระราชกฤษฎีกาที่กองนิติธรรมได้จัดทำขึ้นมายังเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อเสนอคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาและกำหนดเป็นแบบใช้ต่อไป
แบบร่างพระราชบัญญัติและร่างพระราชกฤษฎีกาที่กรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอมาเป็นดังนี้
แบบพระราชบัญญัติ
ชื่อร่าง
พระปรมาภิไธย
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล มีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้า ฯ สั่งว่า
โดยที่สภาผู้แทนราษฎรถวายคำปรึกษาว่า
สมควร ... (คำปรารภ) .............................
จึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร ดั่งต่อไปนี้
มาตรา
1
..........................................................................................
........................................
มาตรา
2 ..........................................................................................
........................................
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
.........................................
แบบพระราชกฤษฎีกา
ชื่อร่าง
พระปรมาภิไธย
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่ทรงพระราชดำริเห็นสมควร
(คำปรารภ) .....................................................
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
.. แห่งพระราชบัญญัติ .......................... จึงทรง
พระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดั่งต่อไปนี้
มาตรา
1 ..........................................................................................
........................................
มาตรา
2 ..........................................................................................
........................................
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
.........................................
คณะกรรมการกฤษฎีกา
(ครบคณะ) ได้พิจารณาแบบร่างพระราชบัญญัติและ
ร่างพระราชกฤษฎีกาแล้ว มีความเห็นแต่ละกรณี ดังนี้
กรณีร่างพระราชบัญญัติ
คณะกรรมการกฤษฎีกา (ครบคณะ) เห็นว่า “ในสมัยผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
เมื่อมีชื่อและระบุวันเดือนปีในรัชชกาลปัจจุบันแล้ว ก็มีข้อความต่อมาว่า
“โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติว่า .........ฯลฯ............”
แต่แบบสำหรับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงลงพระปรมาภิไธยในตอนต้นอย่างหนึ่ง และมีพระบรมปรมาภิไธยเต็มในคำปรารภอีกอย่างหนึ่ง
ทั้งต้องมีข้อความว่าได้โปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศด้วย จึงให้เพิ่มความขึ้นอีกวรรคหนึ่งว่า
“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า”
ซึ่งทั้งนี้ก็เป็นแบบที่คล้ายคลึงกับที่ใช้ในรัชชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนั่นเอง
แต่แก้ไขให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญยิ่งขึ้น อนึ่ง กรรมการร่างกฎหมายได้พิจารณาถึงคำ
“พระบรมราชโองการ” ด้วย เพราะปรากฏว่าตามพระราชประเพณี
พระมหากษัตริย์จะต้องผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษกมาก่อนแล้วจึงจะใช้คำว่า
“พระบรมราชโองการ” ได้ แต่เมื่อได้พิจารณาถึงรัฐธรรมนูญแล้ว
กรรมการร่างกฎหมายคงมีความเห็นว่า ถึงอย่างไร ๆ ก็คงต้องใช้ว่า
“มีพระบรมราชโองการ”อยู่นั่นเอง นอกจากนี้
กรรมการร่างกฎหมายได้แก้ความ “โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติว่า” เป็น
“โดยที่เป็นการสมควร” ทั้งนี้เพราะควรจะเป็นคำปรารภของพระราชบัญญัติ กล่าวคือ
เป็นเหตุผลในการออกกฎหมายซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติโดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร ส่วนสำหรับผู้รับสนองพระบรมราชโองการนั้น
มาตรา 57
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยกำหนดให้รัฐมนตรีนายหนึ่งเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการได้
กรรมการจึงได้ว่างไว้เพราะเป็นเรื่องภายในของคณะรัฐมนตรีซึ่งจะมอบให้ใครเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการก็ได้”
กรณีร่างพระราชกฤษฎีกา
คณะกรรมการกฤษฎีกา (ครบคณะ) เห็นว่า “สำหรับพระราชกฤษฎีกานั้นมี 2 อย่าง คือ
พระราชกฤษฎีกาซึ่งพระมหากษัตริย์ตราขึ้นและประกาศให้ใช้โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 56
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและไม่ขัดกับกฎหมายอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งเป็นพระราชกฤษฎีกาที่ตราขึ้นโดยอาศัยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
กรรมการร่างกฎหมายจึงให้ระบุบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจลงไว้ด้วย
ส่วนพระราชกฤษฎีกาที่ตราขึ้นโดยอาศัยบทบัญญัติของพระราชบัญญัติใดก็ให้ระบุบทบัญญัติของพระราชบัญญัตินั้น
ๆ ลงไว้ให้ชัดเจนด้วย”
ทั้งนี้ แบบร่างพระราชบัญญัติและร่างพระราชกฤษฎีกาที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว
เป็นดังนี้
แบบพระราชบัญญัติ
ชื่อพระราชบัญญัติ
.................(พระปรมาภิไธย)...............
ตราไว้
ณ วันที่ ...........................
เป็นปีที่
.. ในรัชชกาลปัจจุบัน
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ
ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควร
(คำปรารภ) .....................................................
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร ดังต่อไปนี้
มาตรา
1 ..........................................................................................
........................................
มาตรา
2 ..........................................................................................
........................................
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
.........................................
แบบพระราชกฤษฎีกา
ชื่อพระราชกฤษฎีกา
.................(พระปรมาภิไธย)...............
ตราไว้
ณ วันที่ ...........................
เป็นปีที่
.. ในรัชชกาลปัจจุบัน
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้
ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควร
(คำปรารภ) .....................................................
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 56 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหรือ
มาตรา .. แห่งพระราชบัญญัติ
.......................... จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้
ดังต่อไปนี้
มาตรา
1 ..........................................................................................
........................................
มาตรา
2 ..........................................................................................
........................................
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
.........................................
หลังจากนั้น คณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีหนังสือ
ที่ น. 1518/88 ลงวันที่ 17 ธันวาคม 2488 ถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และแบบที่ผ่านร่างกฎหมายและร่างพระราชกฤษฎีกาที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาดังกล่าว
ก็ถือเป็นแบบในการจัดทำร่างกฎหมายและร่างพระราชกฤษฎีกาของทุกกระทรวง ทบวง กรม
ต่อมา
เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2489 ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2489 และภายหลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน คือ ในวันที่ 9 มิถุนายน 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต รัฐสภาจึงมติเอกฉันท์อัญเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ
เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ขึ้นทรงราชย์สืบสันตติวงศ์ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2489 เป็นต้นไป และรัฐสภาได้ประกาศแต่งตั้งพระบรมวงศ์เธอกรมขุนชัยนาทนเรนทร
และพระยามานวราชเสวี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ คณะกรรมการกฤษฎีกาจึงได้พิจารณาปรับปรุงแบบกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2489 และการปฏิบัติหน้าที่ของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และได้เพิ่มแบบร่างพระราชกำหนดขึ้นด้วย
ทั้งนี้
แบบร่างพระราชบัญญัติ ร่างพระราชกำหนด
และร่างพระราชกฤษฎีกาที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นดังนี้
แบบพระราชบัญญัติ
ร่าง
พระราชบัญญัติ
..................................
พ.ศ.
24..
ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
....................................................
....................................................
ให้ไว้
ณ วันที่ ........................... พ.ศ. 24..
เป็นปีที่
.. ในรัชชกาลปัจจุบัน
โดยที่เป็นการสมควร
..................................................................
.........................................
พระมหากษัตริย์โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา
จึงมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ ดั่งต่อไปนี้
(ในกรณีที่พระราชบัญญัติออกตามมาตรา
52 วรรคท้าย ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ให้ใช้แบบนี้แทน
“พระมหากษัตริย์โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภาตามมาตรา
52 วรรคท้ายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้
ดั่งต่อไปนี้”)
มาตรา
1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า
“พระราชบัญญัติ ................ พ.ศ. 24..”
มาตรา
2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับ
แบบปรกติ {
ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
{ เมื่อพ้นกำหนด ...
วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
แบบด่วน ตั้งแต่วันและเวลาประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา .. ..........................................................................................
........................................
มาตรา
... ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ............... รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
.........................................
แบบพระราชกำหนดออกตามมาตรา 72 ของรัฐธรรมนูญ
ร่าง
พระราชกำหนด
..................................
พ.ศ.
24..
ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
....................................................
....................................................
ให้ไว้
ณ วันที่ ........................... พ.ศ. 24..
เป็นปีที่
.. ในรัชชกาลปัจจุบัน
โดยที่เป็นการสมควร
...........................................................
........... (ในคำปรารภให้แสดงสภาพแห่งเหตุฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนไว้ด้วย)
........
พระมหากษัตริย์อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
72 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
จึงมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ ดั่งต่อไปนี้
มาตรา
1 พระราชกำหนดนี้เรียกว่า “พระราชกำหนด
................ พ.ศ. 24..”
มาตรา
2 พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับ
แบบปรกติ {
ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
{ เมื่อพ้นกำหนด ...
วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
แบบด่วน ตั้งแต่วันและเวลาประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา .. ..........................................................................................
........................................
มาตรา
... ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ............... รักษาการตามพระราชกำหนดนี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
.........................................
แบบพระราชกำหนดออกตามมาตรา 73 ของรัฐธรรมนูญ
ร่าง
พระราชกำหนด
..................................
พ.ศ.
24..
ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
....................................................
....................................................
ให้ไว้
ณ วันที่ ........................... พ.ศ. ..
เป็นปีที่
.. ในรัชชกาลปัจจุบัน
โดยที่เป็นการสมควร ....................................................................
.........................................
พระมหากษัตริย์อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
73 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้
ดั่งต่อไปนี้
มาตรา
1 พระราชกำหนดนี้เรียกว่า “พระราชกำหนด
................ พ.ศ. 24..”
มาตรา
2 พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับ
แบบปรกติ {
ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
{ เมื่อพ้นกำหนด ... วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
แบบด่วน ตั้งแต่วันและเวลาประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา .. ..........................................................................................
........................................
มาตรา
... ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ............... รักษาการตามพระราชกำหนดนี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
.........................................
แบบพระราชกฤษฎีกา
ร่าง
พระราชกฤษฎีกา
..................................
พ.ศ.
24..
ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
....................................................
....................................................
ให้ไว้
ณ วันที่ ........................... พ.ศ. 24..
เป็นปีที่
.. ในรัชชกาลปัจจุบัน
โดยที่เป็นการสมควร
...............................................................
.........................................
พระมหากษัตริย์อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
78 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (และมาตรา .. แห่งพระราชบัญญัติ
...................... (ถ้ามี)) จึงมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้
ดั่งต่อไปนี้
มาตรา
1 พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า
“พระราชกฤษฎีกา ................ พ.ศ. 24..”
มาตรา
2 พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับ
แบบปรกติ {
ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
{ เมื่อพ้นกำหนด ...
วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
แบบด่วน ตั้งแต่วันและเวลาประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา .. ..........................................................................................
........................................
มาตรา
... ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ............... รักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
.........................................
ทั้งนี้
ในส่วนคำปรารภนั้นในแบบกฎหมายที่คณะกรรมการกฤษฎีกา (ครบคณะ) ได้พิจารณาไว้เดิมใช้คำว่า “ตราไว้ ณ วันที่ ................. พุทธศักราช 24..”
แต่ในชั้นนี้คณะกรรมการกฤษฎีกาได้แก้ไขคำว่า “ตราไว้” เป็น “ให้ไว้”
เพราะจุดประสงค์อยู่ที่ว่าได้ทรงลงพระปรมาภิไธยให้ไว้เมื่อใด และตามแบบสากลนิยมก็ไม่ใช้คำว่าลงพระปรมาภิไธย (Signed on) แต่ใช้คำว่า “ให้ไว้” (Given on) และจากเดิมที่ใช้คำว่า
“พุทธศักราช” ได้แก้เป็น “พ.ศ. “ แทนเพราะเป็นตัวย่อที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้ว
หลังจากนั้น
คณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีหนังสือ ที่ น. 709/2489 ลงวันที่ 9 สิงหาคม 2489
เสนอแบบร่างพระราชบัญญัติ ร่างพระราชกำหนด และร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวต่อกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และมีหนังสือ ที่ น.1140/2489 ลงวันที่ 24 ธันวาคม 2489
ถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อให้แจ้งกระทรวงทบวงกรมต่าง ๆ เพื่อทราบ ซึ่งต่อมา
กรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้มีหนังสือ ที่ 8537/2489 ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2489
แจ้งว่า ได้แจ้งให้กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ
ทราบเพื่อเป็นทางปฏิบัติและถือเป็นระเบียบเดียวกันแล้ว
ต่อมา ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันเสด็จนิวัติพระนครเป็นการถาวรในปี
พ.ศ. 2494 จึงได้มีการนำแบบร่างพระราชบัญญัติ ร่างพระราชกำหนด และร่างพระราชกฤษฎีกาที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาเมื่อปี พ.ศ. 2488
มาปรับใช้อีกครั้งหนึ่ง โดยส่วนคำปรารภนั้นได้แก้คำว่า “ตราไว้” เป็น “ให้ไว้” ตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาในปี
2489 ดังนี้
แบบพระราชบัญญัติ
ร่าง
พระราชบัญญัติ
………………………………………
พ.ศ.
....
.................(พระปรมาภิไธย)...............
ให้ไว้
ณ วันที่ ........................... พ.ศ. ....
เป็นปีที่
.. ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควร
................(คำปรารภ) ............................
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยคำแนะนำและยินยอมของ ...................... ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติ
................ พ.ศ. ....”
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับ [ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป] [เมื่อพ้นกำหนด ... วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป]
มาตรา .. ..........................................................................................
........................................
มาตรา ... ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง
............... รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
.........................................
แบบพระราชกำหนด
ร่าง
พระราชกำหนด
..................................
พ.ศ.
....
.................(พระปรมาภิไธย)...............
ให้ไว้
ณ วันที่ ........................... พ.ศ. ....
เป็นปีที่
.. ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควร
................(คำปรารภ) ............................
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
.. ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกำหนดขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชกำหนดนี้เรียกว่า “พระราชกำหนด
................ พ.ศ. ....”
มาตรา 2 พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา .. ..........................................................................................
........................................
มาตรา ...
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ............... รักษาการตามพระราชกำหนดนี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
.........................................
แบบพระราชกฤษฎีกา
ร่าง
พระราชกฤษฎีกา
..................................
พ.ศ.
....
.................(พระปรมาภิไธย)...............
ให้ไว้
ณ วันที่ ........................... พ.ศ. ....
เป็นปีที่
.. ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควร
................(คำปรารภ) ............................
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
.. ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย [ประกอบกับมาตรา ..
และมาตรา .. แห่งพระราชบัญญัติ .................... พ.ศ. ....] จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกา
................ พ.ศ. ....”
มาตรา 2 พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับ [ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป] [เมื่อพ้นกำหนด ... วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป]
มาตรา .. ..........................................................................................
........................................
มาตรา ...
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ............... รักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
.........................................
แบบกฎหมายดังกล่าวใช้มาเป็นเวลานาน
จนกระทั่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มีผลใช้บังคับ ซึ่งมาตรา
29 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
ที่บัญญัติให้ต้องระบุบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจในการตรากฎหมายนั้นไว้ด้วยอันเป็นเรื่องใหม่ในเวลานั้น
กรณีจึงเกิดปัญหาว่าจะระบุบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจในการตรากฎหมายนั้นไว้ที่ใด
ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. .... เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2541
และวันที่ 11 มีนาคม 2541 แล้วส่งวุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อไป
แต่สภาผู้แทนราษฎรมิได้เพิ่มบทจำกัดสิทธิและเสรีภาพตามมาตรา 29 วรรคสอง ไว้ด้วย
เมื่อร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาจึงมีผู้ทักท้วงขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจึงแต่งตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกา
(คณะพิเศษ) เพื่อกำหนดแบบของบทจำกัดสิทธิและเสรีภาพดังกล่าวเพื่อชี้แจงต่อวุฒิสภาและเพื่อถือเป็นแนวปฏิบัติต่อไป
ในการนี้
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) พิจารณาแล้วได้เสนอให้เพิ่มบทจำกัดสิทธิและเสรีภาพไว้แยกออกมาเป็นอีกมาตราหนึ่งต่างหากหลังจากมาตรากำหนดวันใช้บังคับหรือมาตรายกเลิกกฎหมายเก่า
แล้วแต่กรณี (ให้เป็นมาตรา 4) ดังนี้
กรณีจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลเรื่องเดียว
ให้ใช้ความว่า
“มาตรา
4 พระราชบัญญัตินี้เป็นกฎหมายเกี่ยวกับการ
.................... ซึ่งตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ..
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย”
กรณีจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลหลายเรื่อง
ให้ใช้ความว่า
“มาตรา
4 พระราชบัญญัตินี้เป็นกฎหมายเกี่ยวกับการ
.................... และการ ..........................
ซึ่งตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา .. ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย”
สำหรับร่างพระราชกฤษฎีกา
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ได้เสนอให้ใช้ความในบทอาศัยอำนาจ ดังต่อไปนี้
“อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
221 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา 4 และมาตรา ..
แห่งพระราชบัญญัติ .............................. จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้”
หลังจากนั้น
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีหนังสือ ที่ นร 0601/174 ลงวันที่ 3 มีนาคม 2541 เสนอบันทึก เรื่อง การวางแบบกฎหมายให้สอดคล้องกับมาตรา 29
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ต่อคณะรัฐมนตรี
ในเวลาเดียวกัน
วุฒิสภาเห็นว่าการระบุบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจในการตรากฎหมายนั้นสมควรเป็นส่วนหนึ่งของคำปรารภแทนที่จะแยกออกมาเป็นอีกมาตราหนึ่งต่างหาก
เพราะมิใช่เนื้อหาของกฎหมาย คงเป็นแต่เพียงการระบุบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจในการตรากฎหมายฉบับนั้นเท่านั้น
โดยคำปรารภที่ผ่านการพิจารณาของวุฒิสภาใช้ถ้อยคำว่า
“โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วย
.......... เพื่อเป็นการ ..................
กับทั้งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการ ................. เพื่อ
....................... ประกอบกับมาตรา .. ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยการตราเป็นพระราชบัญญัติ”
อย่างไรก็ดี เมื่อส่งกลับไปยังสภาผู้แทนราษฎร
สภาผู้แทนราษฎรลงมติไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขของวุฒิสภา จึงต้องมีการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณา
ซึ่งคณะกรรมาธิการร่วมกันเห็นชอบกับการแก้ไขเพิ่มเติมของวุฒิสภาแต่ได้ปรับปรุงถ้อยคำโดยล้อความมาจากมาตรา
29 ของรัฐธรรมนูญฯ เป็นดังนี้
“โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วย
..................... อันมีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดเสรีภาพ
................... และการจำกัดเสรีภาพใน ................... ซึ่งมาตรา .. และมาตรา ..
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย”
ร่างที่แก้ไขของคณะกรรมาธิการร่วมกันนี้ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภา
แต่สภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นด้วย ร่างพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับจึงถูกยับยั้งไว้
และเมื่อพ้นกำหนดเวลาที่ถูกยับยั้ง สภาผู้แทนราษฎรได้มีมติยืนยันตามร่างเดิมที่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรแต่เพิ่มมาตรา
3 ทวิ ซึ่งภายหลังได้ปรับปรุงเลขมาตราเป็นมาตรา 4 ความว่า
“มาตรา ..
พระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดเสรีภาพใน
..................... และการจำกัดเสรีภาพใน .............................
ซึ่งตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา .. และมาตรา .. ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย”
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีผู้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าร่างพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับดังกล่าวไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญเนื่องจากร่างพระราชบัญญัติที่สภาผู้แทนราษฎรมีมติยืนยันนั้นมีการเพิ่มมาตรา
3 ทวิ ซึ่งภายหลังได้ปรับปรุงเลขมาตราเป็นมาตรา 4
เข้าไปโดยไม่ผ่านการพิจารณาของวุฒิสภา ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่
13-14/2541 เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2541 วินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ โดยในคำวินิจฉัยส่วนบุคคลของนายประเสริฐ
นาสกุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีความเห็นที่มิได้เกี่ยวกับการวินิจฉัยคดีโดยตรง (Obiter
dicta) ไว้อย่างน่าสนใจว่า
“การระบุแต่เพียงเลขมาตราของรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลโดยไม่ต้องระบุรายละเอียดลงไป
ย่อมสมบูรณ์และเหมาะสมกว่าการเลือกระบุการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลบางอย่างเท่าที่เห็นว่าจำเป็น
เพราะถ้าระบุขาดไปจะเป็นผลทำให้พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด หรือพระราชกฤษฎีกานั้นขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญได้”
ต่อมา รัฐสภาได้ร่วมกันพิจารณากำหนดบทจำกัดสิทธิและเสรีภาพตามมาตรา
29 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญฯ โดยนำ Obiter dicta ของ นายประเสริฐ
นาสกุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มาประกอบการพิจารณาด้วย และได้กำหนดให้เพิ่มวรรคสองของคำปรารภ
ความว่า
“พระราชบัญญัติ
[พระราชกำหนด] นี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา .. และมาตรา .. ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย”
เมื่อฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณากำหนดแบบของบทจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลจนเป็นที่ยุติแล้ว คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2542
เห็นชอบการกำหนดรูปแบบของร่างกฎหมายที่มีบทบัญญัติอันเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
โดยให้ระบุบทบัญญัติที่ให้อำนาจในการตรากฎหมายนั้นไว้ในวรรคสองของคำปรารภเพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบร่างพระราชบัญญัติซึ่งผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว และให้กระทรวง ทบวง กรม ถือปฏิบัติในการเสนอร่างกฎหมายทำนองนี้ต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป
ดังปรากฏรายละเอียดตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ที่ นร 0204/ว 25 ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2542
ดังนั้น วรรคสองของคำปรารภจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของแบบกฎหมายที่มีบทบัญญัติอันเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลนับแต่นั้นเป็นต้นมา
นี่คือความเป็นมาของ
“แบบกฎหมาย” (Formalities) ที่ใช้กันในปัจจุบัน ซึ่งผู้เขียนขอย้ำอีกครั้งว่าเป็นคนละเรื่องกับ
“การใช้ถ้อยคำ” อันเป็น “วิธีการเขียน” (Style)
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-เรื่องเสร็จที่
136/2488
-เรื่องเสร็จที่
86/2541
-เรื่องเสร็จที่
554/2542
-เรื่องเสร็จที่
278/2543
-คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่
13-14/2541 เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2541
-G.C.
Thronton, Legislative Drafting (3rd Ed.), Butterworths, London,
1987.