วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2562

อาจแพ้เพราะ "บอกเลิก" ปกรณ์ นิลประพันธ์


                   ย้อนกลับไปในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงมีพระราชดำริว่า “...บัดนี้เปนสมัยสมควรจะจัดวางราชการชำระสะสางร่างแปลประมวลบทกฎหมาย ควบคุมกรรมการแลงานนั้นให้เปนกิจลักษณะ...” จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าเลือกสรร “...เนติบัณฑิตผู้ชำนาญในนีติสารสักสมัยแลปะระสมัยให้เปนกรรมการทั้งฝ่ายไทแลต่างประเทศ มีน่าที่รับผิดแลชอบในราชการชำระประมวลบทพระราชบัญญัติแลประเพณีเมือง...” และมีพระบรมราชโองการประกาศตั้งเป็น “กรรมการชำระประมวลกฎหมาย” ขึ้นเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2459  คณะกรรมชุดแรกนี้มีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสวัสดิวัฒวิศิษฎ์ อธิบดีศาลฎีกาเป็นประธานกรรมการ ส่วนกรรมการอื่นได้แก่พระยานรเนติบัญชากิจ พระจินดาภิรมย์ พระเทพวิทุรพหุลศรุตาบดี นายเรเน คิยอง นายซาเวีย เดอ ลาฟอรคาด์ และนายร้อยเอก ชาล เลอเวก ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปกฎหมายของสยามประเทศให้สอดคล้องกับระบบกฎหมายของสากล โดยมีกองกรรมการชำระประมวลกฎหมายทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการ

                   ต่อมา เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2466 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้จัดตั้ง “กรมร่างกฎหมาย” ขึ้นเพื่อให้การปฏิบัติงานด้านการร่างกฎหมายเป็นระบบระเบียบ โดยยกกองกรรมการชำระประมวลกฎหมายขึ้นเป็นกรมชั้นอธิบดีเพื่อเพื่อทำหน้าที่ “...ชำระสะสาง รวบรวม ร่าง แปล และแก้ไขเพิ่มเติมบรรดาประมวลกฎหมาย พระราชบัญญัติ กฎเสนาบดี และประเพณีเมืองไว้ให้เปนระเบียบ โดยมีหลักดำเนินการสม่ำเสมอเปนทำนองคลองเดียวกัน และให้ถูกต้องชอบด้วยกาลสมัยความเจริญแห่งบ้านเมืองเช่นว่านั้น...” โดยมีนาย อาร์. ซี. กียอง (คือนายเรเน คิยอง) เป็นที่ปรึกษา พระยานรเนติบัญชากิจ พระยาจิดาภิรมย์ราชสภาบดี พระยาเทพวิทุรพหุลศรุตาบดี นายชาลส์ เลเวก พระยามานวราชเสวี นายเรมี เดอ ปลังเตอโรส และนายเรเน กาโซ เป็นกรรมการ และต่อมาในปี 2476 ได้มีการโอนกรมร่างกฎหมายไปเป็น “คณะกรรมการกฤษฎีกา” ทำหน้าที่ดังกล่าวสืบต่อมาจนปัจจุบัน

                   ที่เล่าท้าวความมาเสียยืดยาวนี้ก็เพื่อจะบอกว่าการร่างกฎหมายยุคใหม่ของเราเมื่อร่วมร้อยปีก่อนนั้นเขาร่างกันเป็นภาษาอังกฤษแล้วจึงแปลเป็นไทยนะครับ ไม่ได้ร่างเป็นภาษาไทยแล้วแปลเป็นภาษาอังกฤษอย่างปัจจุบัน เพราะกรรมการชำระประมวลกฎหมายของเรานั้นมีทั้งชาวไทยทั้งที่จบการศึกษากฎหมายในประเทศและต่างประเทศ เนติบัณฑิตอังกฤษก็มี ชาวต่างประเทศส่วนใหญ่ก็เป็น “หมอกฎหมายฝรั่งเศส” และนอกจากที่ออกชื่อมาแล้วก็ยังมีนักกฎหมายญี่ปุ่นและชาติอื่นด้วย เมื่อกรรมการเป็นสหประชาชาติ จึงใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางครับ การทำงานร่างกฎหมายในยุคนั้นจึงจัดเป็นงาน “อินเตอร์” อย่างแท้จริง ผู้ใดสนใจสามารถตรวจสอบต้นร่างของกฎหมายเก่า ๆ โดยเฉพาะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

                   ปัญหามันเกิดขึ้นตรงที่ร่างกันเป็นภาษาอังกฤษแล้วแปลเป็นไทยนี่แหละครับ เพราะคำในภาษาไทยกับคำในภาษาอังกฤษมันไม่ตรงกันเป๊ะ ๆ เช่นคำว่า “คณะกรรมการ” ในภาษาอังกฤษก็มีหลายแบบ เป็นต้นว่า Committee หรือ Commission ซึ่งแตกต่างกันโดย Committee จะใช้หลัก “คุณน่ะทำ” คือเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ มาให้ความคิดความเห็น แล้วให้ฝ่ายเลขานุการหรือหน่วยงานรับไปดำเนินการต่อ ต่างจาก Commission ซึ่งใช้หลัก “ตูทำเอง” คือ Commissioner ตกลงปลงใจรับ (commit) ว่าจะทำภารกิจเฉพาะอะไรด้วยตนเอง พอเราแปลออกมาเราใช้คณะกรรมการเหมือนกันหมด บางทีจึงเกิดความสับสนในการกำหนดหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการแต่ละแบบ

                   ส่วนคำที่กำลังดังอยู่ตอนนี้น่าจะเป็นคำว่า “เลิกสัญญา” ที่เป็นเหตุให้ภาครัฐต้องเสียเงินฟรีอยู่บ่อย ๆ ซึ่งในหลักกฎหมายต่างประเทศใช้อยู่ 2 คำหลัก ๆ คือ rescission กับ termination สองคำนี้มีนิตินัยสากลที่แตกต่างกันมาก เพราะเมื่อใดที่คู่สัญญาใช้สิทธิ rescission คู่กรณีก็จะกลับคืนสู่สถานะเดิม แต่ไม่กระทบกระเทือนสิทธิของบุคคลภายนอก แต่ถ้าเป็นการใช้สิทธิ termination มันจะมีผลต่อไปข้างหน้าไม่ย้อนหลัง

                   เมื่อตรวจสอบจากต้นร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว ผู้เขียนพบว่ามาตรา 391 วางหลักเรื่องการใช้สิทธิ rescission ไว้[1] ซึ่งเมื่อแปลเป็นไทยใช้คำว่า “สิทธิเลิกสัญญา” มาจนปัจจุบัน แต่ในที่อื่น ๆ เช่น ความระงับแห่งสัญญาเช่า (Extinction of Contract of Hire) เมื่อไปดูต้นร่างภาษาอังกฤษของมาตรา 566 แห่งประมวลแพ่งและพาณิชย์[2] ท่านผู้ร่างท่านใช้คำว่า terminate the contractแต่เมื่อแปลมาเป็นภาษาไทยใช้คำว่า “บอกเลิกสัญญา” เหมือนกันทั้งที่มันมีผลทางกฎหมายต่างกันดังว่า

                   ดังนั้น เมื่อใช้กฎหมายไทยบังคับแก่สัญญาใด ถ้ามีการ “บอกเลิกสัญญา” มันก็จะวนกลับไปที่หลัก rescission ตามมาตรา 391 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อยู่ร่ำไป ทั้งที่จริง ๆ แล้วผู้แสดงเจตนาอาจต้องการให้สัญญาเป็นอันระงับสิ้นไป (extinction) นับแต่นั้นเป็นต้นไปตามหลัก termination of contract เท่านั้น

                   ผู้เขียนเองไม่ทราบข้อมูลอะไรต่าง ๆ มากนัก ที่แพ้อาจไม่ใช่เพราะปัญหานี้ก็ได้ แต่บังเอิญคาใจประเด็นนี้มานานเพราะเป็นหลักการสำคัญของระบบกฎหมาย  ไม่แน่นะ ถ้าทำให้เกิดความชัดเจนในระบบกฎหมายระหว่าง rescission กับ termination บางทีเราอาจ terminate สัญญาโดยไม่ต้องเสียเงินฟรีเพื่อให้คู่สัญญากลับคืนสู่สถานะเดิมอยู่ร่ำไปอย่างที่เป็นอยู่นี้ก็ได้ (ถ้าไม่มีปัจจัยอื่นประกอบด้วยนะ)

                   ชวนคิดครับ

***************




[1]Section 391.  If one party has exercised his right of rescission, each party is bound to restore the other to his former condition; but the rights of third persons cannot be impaired. [emphasis added]
Etc.
[2]Section 566.  If no period is agreed upon or presumed, either party may terminate the contract of hire at the end of each period for the payment of rent, provided that notice of at least one rent is given.  But no more than two months notice need be given. [emphasis added]
Etc.

วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2562

ประสบการณ์ในการก้าวไปสู่ระบบราชการดิจิทัลของญี่ปุ่น โดย นางจันทรา บุญมาก


นางจันทรา บุญมาก
นักวิชาการคอมพิวเตอร์ชำนาญการพิเศษ
สำนักงาน ก.พ.ร.

ประเทศญี่ปุ่น ได้มีการนำระบบพัฒนาระบบราชการแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Administration) เข้ามาใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๘ จนถึงปัจจุบัน ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น ๓ ช่วงเวลา ดังนี้

ช่วงที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๓๘-๒๕๔๗)
ช่วงที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๑)
ช่วงที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๖๒)
·        ประชาสัมพันธ์การนำระบบสารสนเทศมาใช้ในการพัฒนาประเทศในภาพรวม
·        นำระบบงานต่าง ๆ มาช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงานของข้าราชการ
·        พัฒนาระบบสารสนเทศกลางที่มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่เป็นพื้นฐานสำหรับทุกส่วนราชการ
·        นำรูปแบบและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในส่วนราชการให้มากขึ้น
·        เร่งรัดให้มีการนำเทคโนโลยีด้านดิจิทัล สมาร์ทโฟน มาประยุกต์ใช้กับงานบริการของภาครัฐ
·        มีการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ทันสมัย เช่น IoT, big data, AI, RPA เป็นต้น เข้ามาใช้ในระบบราชการให้มากขึ้น

นาย Toshikasu Sawada ซึ่งเป็น Senior Advisor Administrative Management Bureau Ministry of Internal Affairs and Communications ได้สรุปบทเรียนจากการพัฒนาระบบราชการแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Administration) ของประเทศญี่ปุ่น ไว้ดังนี้
()  ต้องเก็บความต้องการให้ครบ (Correct recognition of facts)
()  สร้างความตระหนักรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศให้แก่ผู้บริหารระดับสูง (Top management and awareness transformation of executives)
()  สร้างการรับรู้เกี่ยวกับบทเรียนที่ได้จากการดำเนินการที่ผ่านมา (Sharing and horizontal spreading of know-how obtained from precedents)

ทั้งนี้ การเปลี่ยนผ่านจาก “e-Government” ไปสู่ “Digital Government” นั้น ประเทศญี่ปุ่นประกาศแผนปฏิบัติการรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government Action Plan) เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๑ ซึ่งตามแผนดังกล่าวแต่ละกระทรวงจะไปจัดทำแผนปฏิบัติการรัฐบาลดิจิทัลของกระทรวงเอง เพื่อปฏิรูปการให้บริการของรัฐให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล โดยเริ่มต้นพัฒนาจากงานบริการที่สามารถปรับเปลี่ยนได้งาน โดยไม่ขัดกับระเบียบราชการที่เป็นอยู่ ยกตัวอย่างเช่น
·       การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างสถาบันการเงินและหน่วยงานราชการ เพื่อทำธุกรรมทางการเงิน เช่น การฝากเงิน การถอนเงิน เป็นต้น
·       ปรับปรุงกฎหมายให้อำนวยความสะดวกต่องานบริการติดตามของหาย เป็นต้น

จากการไปฝึกอบรมตามโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการด้านการบริหารงานภาครัฐ หลักสูตร Public Administration for Better Life in Technological Disruption Era ของสำนักงาน ก.พ.ร. ระหว่างวันที่ ๒- ๘ ธันวาคม ๒๕๖๑ ณ The National Graduate Institute for Policy Studies (GRIPS) ประเทศญี่ปุ่น ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเรียนรู้ที่กระทรวงกิจการภายในและการสื่อสาร (Ministry of Internal Affairs and Communications) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการกำกับและให้นโยบายด้านการบริหารราชการของประเทศญี่ปุ่น มีประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้

๑.  การปรับปรุงระบบเอกสารราชการของรัฐบาลญี่ปุ่น (Making paperwork better in the Japanese Government)
จุดเริ่มต้นของการปรับปรุงระบบเอกสารราชการ (paperwork) ของรัฐบาลญี่ปุ่น เริ่มจากการที่นายกรัฐมนตรี Shinzo ABE เองถูกกล่าวหาว่าทุจริตในการซื้อขายที่ดินในปี พ.ศ. ๒๕๖๑ มีการอ้างเอกสารซื้อขายที่เป็นกระดาษขึ้นเป็นหลักฐาน แต่จากการสอบสวนปรากฏว่ามีการแก้ไขเอกสารการซื้อขายที่ดินดังกล่าวเพื่อให้ปรากฏชื่อ Shinzo ABE เมื่อนายกรัฐมนตรีถูกเล่นงานเสียเองเช่นนี้ ท่านจึงมีนโยบายให้ส่วนราชการเร่งรัดดำเนินการปรับเปลี่ยนเอกสารราชการให้อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างเร่งด่วนเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้อีกกับประชาชนทั่วไปเพราะการจัดเก็บเอกสารในระบบอิเล็กทรอนิกส์นั้นยากต่อการแก้ไข
สำหรับแนวทางในการดำเนินการปรับเปลี่ยนเอกสารราชการให้อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ มีดังนี้
* สอบถามแต่ละส่วนราชการว่า (Ask every Government Agency)
-       องค์กรของท่านมีงานใดบ้างที่ไม่สามารถปรับให้สามารถทำการอนุมัติ/อนุญาตทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Approval) ได้
-       ในแต่ละงาน มีขั้นตอนอนุมัติ/อนุญาต (Approval) เป็นจำนวนกี่ขั้นตอน
-       อะไรคือความท้าทาย / ปัญหา / อุปสรรค ของการอนุมัติ/อนุญาตทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Approval) ในแต่ละงาน
* ความท้าทาย (Typical Challenges)
-   แบบฟอร์ม (Application) อยู่ในรูปแบบกระดาษซึ่งการอนุมัติ/อนุญาต จะทำบนแบบฟอร์มดังกล่าว
-   ระบบงาน (Work System) ไม่ได้เชื่อมต่อกับระบบอนุมัติ/อนุญาตแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Approval System)
-   เจ้าหน้าที่ที่ทำงาน ณ สถานที่ปฏิบัติงาน (On-site worker) ทำงานด้วยอุปกรณ์สื่อสารที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ไม่เสถียร
นอกจากนั้น ยังมีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเพิ่มเติม ประกอบด้วย
)   จะต้องนำกระบวนการ อนุมัติ/อนุญาต (approval)” เข้ามาร่วมพิจารณาด้วยเสมอ
)   ในการดำเนินการเรื่องนี้ ฝ่ายบริหารของหน่วยงานจะต้องให้ความเห็นชอบด้วย
)   ไม่วิตกกังวลเกี่ยวกับขั้นตอนการอนุมัติ/อนุญาต (approval) จนเกินไป
)   ในการดำเนินการเรื่องนี้ จะต้องมีการเตรียมแผนสำรองเอาไว้เสนอ เนื่องจากบางครั้งการดำเนินการอย่างหนึ่งได้สำเร็จ อาจจะไปกระทบกับการดำเนินการด้านอื่น ๆ อีกก็เป็นได้

๒.  การปรับปรุงกระบวนงาน และระบบงาน (Revising workflow and systems)
สำนักบริหารจัดการ (Administrative Management Bureau (AMB)) กระทรวงกิจการภายในและการสื่อสาร สนับสนุนการดำเนินงานของรัฐบาลในหลายด้าน ซึ่งรวมถึงการประเมินกระบวนงาน (business process) การประเมินผลการจัดสรรงบประมาณสำหรับระบบสารสนเทศ และการจัดหาระบบของรัฐบาลแบบบูรณาการ อาทิ ระบบเครือข่าย (Network) ศูนย์กลางการให้บริการของรัฐบาล (Portal) เป็นต้น เพื่อยกระดับการบริหารงานภาครัฐให้มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงส่งเสริมให้ส่วนราชการมีการทำงานแบบดิจิทัล เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทุกประเทศทั่วโลกให้ความสำคัญไม่ใช่เฉพาะแต่ในประเทศญี่ปุ่น สำนักงานบริหารจัดการจึงต้องให้การสนับสนุนการปรับปรุงวิธีการทำงานและกระบวนการให้บริการสาธารณะของแต่ละกระทรวงให้ดียิ่งขึ้น  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับประชาชนและปรับปรุงประสิทธิภาพของกระบวนการทำงาน โดยสำนักบริหารจัดการได้จัดทำเว็บไซต์ “e-Gov” เพื่อให้เป็นเว็บไซต์กลาง (Portal site) ที่กระทรวงและหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐบาลให้ข้อมูลการบริการออนไลน์ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา อันเป็นการส่งเสริมความโปร่งใสในการบริหารราชการแผนดิน (Open Government) นั่นเอง 

                    ตัวอย่าง การพัฒนารูปแบบการทำงานของราชการให้เป็นดิจิทัล
จากการสำรวจความเห็นของข้าราชการพบว่า ขั้นตอนการร่างกฎหมายเป็นขั้นตอนที่ใช้เวลานาน และแต่ละขั้นตอนไม่มีการกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จ การเปลี่ยนร่างกฎหมายแบบอนาลอก (Analog) ไปเป็นแบบดิจิทัล (Digital) นั้น สำนักบริหารจัดการได้นำเสนอโครงการพัฒนาการร่างกฎหมายแบบดิจิทัล โดยการพัฒนาระบบ e-Legislative Activity and Work Support System หรือ e-LAWS ขึ้นมา ในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ โครงการนี้สามารถเกิดขึ้นได้ก็เนื่องจากมีการปรับปรุงกฎหมายให้สามารถ      นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ในระบบราชการได้ โดยวัตถุประสงค์หลักของการดำเนินโครงการนี้ก็เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานของรัฐบาลญี่ปุ่นให้ดียิ่งขึ้น อาทิ ประหยัดงบประมาณด้านเงินเดือนข้าราชการ กำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จในแต่ละขั้นตอน และจัดให้มีวิธีการทำงานแบบพิเศษเพื่อรองรับการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น การทำงานทางไกล (teleworking) เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถทำงานด้านการร่างกฎหมายแบบดิจิทัลได้ ซึ่งสามารถลดอัตราการโอนย้ายของข้าราชการสตรีลงได้อีกด้วย

                    การเปิดข้อมูลภาครัฐในรูปแบบ XML ด้วย API
ระบบ e-LAWS (ระบบสารสนเทศด้านกฎหมาย) เปิดตัวบน e-Gov portal เพื่อเผยแพร่ข้อมูลในรูปแบบ XML ซึ่งภาคเอกชนสามารถนำไปใช้ร่วมกับ API เพื่อยกระดับการให้บริการของภาคเอกชน (Private service) โดยการใช้ข้อมูลกฎหมาย พระราชบัญญัติ กฎ ระเบียบของภาครัฐที่ผ่านกลั่นกรองเรียบร้อยแล้ว

๓.  การปฏิรูปสำนักงาน (Office Reform)
การปฏิรูปสำนักงาน (Office Reform) คือ รูปแบบการทำงานใหม่ล่าสุดที่สามารถตอบสนองต่อการทำงานเป็นทีม ไม่มีตำแหน่งที่นั่งประจำ การทำงานแบบไร้กระดาษ (Paperless) ซึ่งหลังจากดำเนิน  การปฏิรูปสำนักงานแล้ว องค์กรประสบความสำเร็จในการเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม ลดการทำงานล่วงเวลาได้   ร้อยละ ๒๐ และร้อยละ ๙๐ ของพนักงานมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการทำงานใหม่นี้ ที่มาของการปฏิรูปสำนักงาน เริ่มมาจากการเปลี่ยนแปลงในค่านิยมทางสังคม ที่ต้องการปรับเปลี่ยนจากชีวิตที่เน้นงานเป็นหลัก (work-centered life) มาเป็นการสร้างสมดุลของการทำงานและชีวิตส่วนตัว (work-life balance)          

ก่อนทำ (Before)
หลังทำ (After)
- มีระยะห่างระหว่างผู้บังคับบัญชาผู้ใต้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน
- มีการทำงานเป็นทีม (Team-based) ไม่มีตำแหน่งที่นั่งประจำ (free address office)
- พื้นที่สำนักงานที่ยุ่งเหยิง
- แต่ละโต๊ะมีกองเอกสารวางอยู่สูงท่วมหัว จนมองไม่เห็นเจ้าหน้าที่
- ทำงานแบบไร้กระดาษ (Paperless) เพื่อลดเอกสารบนโต๊ะ
- ใช้เครือข่าย LAN (Ethernet)
- ใช้เครือข่ายไร้สาย (Wireless LAN)

 

                           ภาพสำนักงานหลังจากการปฏิรูปสำนักงาน
(Office Reform) แสดงให้เห็นว่าการปฏิรูปสำนักงาน (Office Reform) ทำให้องค์กรสามารถกระตุ้นการสื่อสารระหว่างพนักงาน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในกระบวนการทำงาน และจากการสำรวจกลุ่มพนักงานมากกว่าร้อยละ ๖๐ ตอบว่า ตอนนี้พวกเขาเลือกที่จะทำขอบเขตงานแบบคร่าว ๆ ก่อนเริ่มลงมือทำโครงการจริง (decide on the brief principals for the project before starting operation) เพื่อ“ลดการทำงานซ้ำ (reduce reworking)” การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้การทำงานล่วงเวลาลดลงร้อยละ ๒๐ และร้อยละ ๙๐ ของพนักงานรู้สึกสบายใจขึ้น (comfortable)
จากการศึกษาการพัฒนาระบบราชการของประเทศญี่ปุ่น พบว่าปัจจัยสำคัญที่จะนำพาระบบราชการข้ามผ่านไปสู่รัฐบาลดิจิทัลได้นั้น ฝ่ายบริหารจะต้องตระหนักและเข้าใจถึงความจำเป็นต่าง ๆ ที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนให้สอดรับการการทำงานแบบดิจิทัล และสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ข้าราชการในหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้สามารถปรับตัวให้สามารถทำงานแบบดิจิทัลได้

***********************************************************************

Legal Considerations, Ministry of Defence, and National Cybersecurity โดย พลเอกกฤษณะ บวรรัตนารักษ์


Legal Considerations, Ministry of Defence, and National Cybersecurity

                                                 General Krisna Bovornratanaraks

                        Today it is generally accepted that cyber threats can have a serious impact on services of computer, internet, telecommunications, and satellite networks, whether at individual or national levels.  The impact can be a matter of concern for national security, including military security, law and order, prosperity and economic stability.  The Ministry ofDefence, charged with national defence and security,thus plays an important role in overseeing national cybersecurity.  In this connection, the Ministry and agencies under its jurisdiction that have something to do with domestic and international laws have to discharge duty under the rule of law. The National CybersecurityStrategy (2017-2021) includes the protection of national interests and security against conventional as well as modern threats, whereby the armed forces are entrusted with the responsibility of cyber-related national security and support of cybersecurity, especially in the event of national cyber-crisis or cyberwar.  This paper will focus in part on cyber warfare with military objectives and cyber defence in the military context as it touches upon military security and in part on the military role in support of other agencies in the civilian context.
                        The hostile forces and cyberterrorism today come in many forms, whether in disguised or open fashion, can be classified as follows: countries openly involved in the combat or war, enemy countries operating clandestinely, terrorist organizations/movements, international and domestic organized crimes, groups of ordinary individuals, and individuals operating overseas or domestically.  The situation transcends conventional frontiers.  In todays combat or war there is no need to resort solely to attack or use of arms against military or physical targets, i.e. using bombers, artillery or missiles to destroy dams, nuclear power plants, or telecommunications systems.  The war can be waged on the cyber front to inflict damage on them as well as on other military or economic targets.
                        The cyberspace operations in armed conflicts or cyberwar are subjected to international considerations as follows:
                        1. According to Article 51 of the UN Charter, a UN member state can employ forces and cyber operations in self-defence against an armed attack by another country but shall immediately report to the UN Security Council.  However, its action must not in any way jeopardize the power and responsibility of the Security Council.  There is an observation to be made in this regard.  The right to exercise self-defence against pre-emptive attack in some instances can be too late.  There are two countries that seem not to follow the rule, the USA and Israel.

                        2. The International Humanitarian Law, also known as the Law of Armed Conflict, provides important principles governing or justifying the possibility of engaging cyber-warfare:
                             2.1 Military necessity: accounting for the legitimacy of operation necessary to reach the objective of the task, ensuring the military defeat of the enemy, while falling within the criteria and scope of the Law.
                            2.2 Unnecessary suffering: meaning that weapons and other means of warfare, albeit with destructive killing power, must not cause unnecessary suffering”.
                             2.3 Proportionality:military operations and means of warfare must be in the appropriate balance, i.e. the damages that follow must not overly exceed the military advantage, not causing civilian damage or injury, something that must be avoided as much as possible.
                            2.4 Humanity: civilians, prisoners of war, medical staff and religious personnel are to be treated with respect for humanity.  They must be distinguished from legitimate combat targets.  It is prohibited to use the protected objects or personnel as targets or attack them in reprisal.
                        Nevertheless, there is no direct mentioning of cyber acts in international laws or universally accepted standards.  It was mentioned first the Convention on Cybercrime, also known as Budapest Convention on Cybercrime or Budapest Convention in short.  The convention was initiated by the Council of Europe and opened for signature in the Hungarian capital of Budapest on 23 November 2001.  Fifty-two countries have already ratified although Thailand is not yet a signatory party to the instrument.  It is considered the first international agreement or treaty to address the issue of internet and computer crimes at one go, leading to considerable improvement of investigative techniques and greater international collaboration to prevent and suppress international cybercrimes.  Another piece of documentation is the 2015 report of theUnited Nations Group of Governmental Experts on Developments in the Field of Information and Telecommunications in the Context of International Security (UN GGE) with its 11 cyber-related recommendations on the basis of which negotiations and considerations can be applied to suit the context of individual countries on a voluntary non-binding basis.  Attempts have also been made to develop what is known as "TALLINN MANUAL 2.0 ON THE INTERNATIONAL LAW APPLICABLE TO CYBER OPERATIONS" by NATO Cooperative Cyber Defence Centre of Excellence, a research and training institute in Tallinn in Estonia. The document is a result of the cooperation of cyber experts from several countries although internationally it is not legally binding in any way.
                        With regard to Thailands legal instruments dealing with cyber-operations or warfare, cyber-prevention in the context of international armed conflict and cybersecurity in the civilian context, there are a number of laws that concerns the Ministry of Defence as follows:
                        1. In the Constitution of the Kingdom of Thailand, B.E. 2560 (2017), Section 56 provides that the State shall put in place armed forces to ensure national security, law and order.  In Section 8, Section 36, Section 37 and Section 40 of the Act on the Ministry of Defence Organization, the Ministry of Defence shall have the powers and duties in defending and maintaining national security against external and internal threats, and other duties including non-combat military operations designed to maintain national security.  It is the ministrys duty to prevent, stop or suppress threats to the States security and terrorism, which may require immediate military intervention, as well as to protect and maintain other national interests.  In this connection, military personnel can act as competent officers in accordance with the Criminal Code.  The legal provisions, thus, make it possible for the Ministry of Defence and its agencies to conduct cyber-operations even in the absence of specific legal stipulations if they are dealing with cybersecurity and national security or interests or terrorist acts that require military intervention.  In this light, the Constitution and the Act on the Ministry of Defence Organization empower the Ministry of Defence and agencies under its jurisdiction to take appropriate action.
                        2. Computer Crimes Act, B.E. 2550 (2007) and subsequent amendments
                        3. Electronic Transactions Act, B.E. 2544 (2001) and subsequent amendments
                            3.1  Royal Decree Prescribing Rules and Procedures for Electronic Transactions in Public Sector, B.E. 2549 (2006) issued under Section 35 paragraph one of the Electronic Transactions Act B.E. 2544 (2001),together with the following notifications:
                                   3.1.1 Notification of the Electronic Transactions Commission, dated 31 May 2010, on Policy and Practice Guidelines for Maintaining Information Security in Public Sector, B.E. 2553 (2010), to ensure security and reliability of electronic transactions with/by the public sector as well as to ensure international acceptance.  In this regard, all public agencies, including the Ministry of Defence, shall each have in place its policy on information security in writing.
                                    3.1.2 Notification of the Electronic Transactions Commission, dated 1 October 2010, on Policy and Practice Guidelines for Protecting Information of Personnel of Public Sector, B.E. 2553 (2010), to ensure security and reliability of electronic transactions of the public sector and to protect personal information with the same standard across the board.  In this regard, all public agencies, including the Ministry of Defence, shall each have in place its policy on personal information protection in writing.
                            3.2  Royal Decree on Safe Procedures for Electronic Transactions, B.E. 2553 (2010) issued under Section 25 of the Electronic Transactions Act, B.E. 2544 (2001) together with the following notifications:
                                    3.2.1 Notification of the Electronic Transactions Commission, dated 13 November 2012, on Types of Electronic Transactions and Criteria for Assessing the Level of Impact of Electronic Transactions under Safe Procedures, B.E. 2555 (2012) to ensure the reliability of electronic transactions under safe procedures as prescribed by the Commission.
                                    3.2.2 Notification of the Electronic Transactions Commission, dated 13 November 2012, on Standards of Maintaining Information System Security under Safe Procedures, B.E. 2555 (2012), to ensure the reliability of electronic transactions under safe procedures as prescribed by the Commission.
                        4. Office of the Prime Ministers Regulations onPreparatory National Cyber Security Committee, B.E. 2560 (2017), prescribing the presence of the Preparatory National Cyber Security Committee during the preparation of the law on national cybersecurity to be submitted to the National Legislative Assembly.  It is designed to prepare the development and maintenance of cybersecurity and to ensure that Thailand can defend and protect itself against cyber threats or handle the situation in a prompt manner.  This will protect all people concerned, whether public, private, or civil society, and instill confidence in them.  The committee will consist of such members as the Minister of Defence, Permanent Secretary for Defence, Chief of Defence Forces, Commander-in-Chief of Royal Thai Army, Commander-in-Chief of Royal Thai Navy, and Commander-in-Chief of Royal Thai Air Force.
                        Inevitably, when one starts to prescribe measures and actions to prevent or protect against untoward cyber-situations and threats, especially when it involves service of computer, internet, and telecommunication networks, satellite services, infrastructure systems, and public services in the country, it may affect the right and liberty of certain individuals or groups of people.  This is even more so, when it comes down to national security, military security, internal law and order, and economic security, collectively called security”. Such inconvenience on individuals or groups of people will not constitute a violation of human rights if action is taken under the legal framework oris not deliberately taken on them.  Article 4 of the International Covenant on Civil and Political Rights, to which Thailand is party,states that in time of public emergency which threatens of the nation, the State Parties to the Covenant may take measures derogating from their obligations on civil rights and freedom to the extent strictly required by the exigencies of the situation.  In addition, the European Convention on Human Rights, to which Thailand is not yet party, can be considered an international principle on this matter.  Article 15 of the Convention states that in time of war or other public emergency threatening the life of the nation, the State Party can cake measures derogating from its obligations on civil rights and freedoms to the extent required by the exigencies of the situation.  This is a case of public safety or pubic security, which emerges as the most important.
                        The above-mentioned domestic laws Computer Crimes Act, B.E. 2550 (2007) and subsequent amendments, Electronic Transactions Act, B.E. 2544 (2001) and subsequent amendments, other secondary acts and notifications may suffice to prevent and suppress cybercrimes but do not go far enough to cover national cybersecurity”.  It is necessary for Thailand, therefore, to come with a law on national cybersecurity as soon as possible.  In this matter, the Ministry of Digital Economy and Society is the lead agency in drafting a bill on national cybersecurity B.E…. which will be in force in due course.  It is hoped that the draft act will include provisions concerning the part of the military personnel of the Ministry of Defence accordingly.
                        Conclusion: The Ministry of Defence is an important agency in national cybersecurity.  The Ministry and agencies under its jurisdiction will have to act under the domestic and international laws.  Admittedly, at present, domestic laws do not sufficiently cover or deal with national cybersecurityin a comprehensive manner.  It is necessary, therefore, for Thailand to put in place a law on national cybersecurity as soon as possible.

  
          ***************

คำแปล พรก แก้ไขเพิ่มเติม พรบ ค้ามนุษย์ โดย นางณัฏฐณิชา เลอฟิลิแบร์ต


EMERGENCY DECREE
AMENDING THE ANTI-HUMAN TRAFFICKING ACT, B.E. 2551 (2008),
B.E. 2562 (2019)
_________________

His Majesty King Maha Vajiralongkorn Bodindradebayavarangkun;
Given on the 6th Day of April B.E. 2562;
Being the 4th Year of the Present Reign.

                        His Majesty King Maha Vajiralongkorn Bodindradebayavarangkun is graciously pleased to proclaim that:
                        Whereas it is expedient to amend the law on anti-human trafficking;
                      Be it, therefore, by virtue of section 172 of the Constitution of the Kingdom of Thailand, enacted by the King as follows:

                        Section 1. This Emergency Decree is called the “Emergency Decree Amending the Anti-Human Trafficking Act, B.E. 2551, B.E. 2562 (2019)”.

                        Section 2. This Emergency Decree shall come into force as from the day following the date of its publication in the Government Gazette.
                       
                        Section 3. The provisions of section 5 of the Anti-Human Trafficking Act, B.E. 2551 shall be repealed and replaced by the followings:
                        “Section 5. The President of the Supreme Court, the Minister of Social Development and Human Security and the Minister of Labour shall have charge and control of the execution of this Act, in relation to their respective powers and duties.
The President of the Supreme Court shall have the power to issue the Regulations, the Minister of Social Development and Human Security and the Minister of Labour shall have the power to appoint competent officials and issue the Ministerial Regulations and the Rules for the execution of this Act.
The Regulations of the President of the Supreme Court, the Ministerial Regulations and Rules shall come into force upon their publication in the Government Gazette”.

Section 4. The provisions of section 6 of the Anti-Human Trafficking Act, B.E. 2551 as amended by the Anti-Human Trafficking Act (No. 3), B.E. 2560 shall be repealed and replaced by the followings:
“Section 6. Any person who, for the purpose of exploitation, commits any of the following acts: (1) procuring, buying, selling, vending, bringing from or sending to, detaining or confining, harbouring, or receipt of any person, by means of threat or use of force, abduction, fraud, deception, abuse of power, or giving money or benefits to a guardian or caretaker of the person to achieve the consent of the guardian or caretaker of such person to allow the offender to exploit the person under his or her control; or
 (2) procuring, buying, selling, vending, bringing from or sending to, detaining or confining, harbouring, or receipt of a child;
If such act aims for exploitation of persons, such person commits an offence of human trafficking.
The exploitation under paragraph one means the exploitation of prostitution, the production or distribution of pornographic materials, the exploitation of other forms of sexual acts, slavery or practices similar to slavery, exploitation of begging , removal of organs for commercial purposes, forced labour or services under section 6/1, or any other similar forcible extortion regardless of such person’s consent”.

Section 5. The followings shall be added as section 6/1 and section 6/2 of the Anti-Human Trafficking Act, B.E. 2551:
“Section 6/1. Any person who compels another person to work or to provide services by one of the following means:
(1)     threatening to cause injury to life, body, liberty, reputation or property of the person threatened or any other person;
(2)     intimidating;
(3)     using force
(4)     confiscating identification documents;
(5)     using debt burden incurred by such person or any other person as the unlawful obligation;
(6)     using any other means similar to the above acts if the act is committed to make another person to be in the situation where he or she cannot resist not to act accordingly, such person commits the offence of forced labour or services.
Section 6/2. The provisions of section 6/1 shall not apply to:
(1)     work or services under the law on military service for the work under the official duties;
(2)     work or services which is a part of the normal civic obligations or state government under the Constitution or under the law;
(3)     work or services as a result of the Court judgment or work or services performed during the period of sentencing under the Court judgment;
(4)     work or services for the purpose of disaster prevention or in the case of emergency situation or war or battle”.

Section 6. The provisions of section 14 of the Anti-Human Trafficking Act, B.E. 2551 shall be repealed and replaced by the followings:
“Section 14. The offence under section 6/1 which results in a person being seriously injured or death is a predicate offence under the law on anti-money laundering”.

Section 7. The followings shall be added as section 14/1 of Chapter I General Provisions of the Anti-Human Trafficking Act, B.E. 2551:
“Section 14/1. For the purpose of suppressing and preventing human trafficking, forced labour or services and protection of victims, the word “human trafficking” in Chapter III and Chapter IV shall include “forced labour or services”.
The law on procedures for human trafficking cases shall apply to the procedures for forced labour or services cases mutatis mutandis.”

Section 8. The followings shall be added as section 52/1 of the Anti-Human Trafficking Act, B.E. 2551:
“Section 52/1. Any person commits an offence under section 6/1 shall be be liable to imprisonment for a term of six months to four years or to a fine of fifty thousand to four hundred thousand Baht per one injured person or to both.
If the offence committed under paragraph one results in the victim being seriously injured or having a fatal disease, such person shall be liable to imprisonment for a term of eight years to twenty years and a fine of eight hundred thousand Bath to two million Baht or to life imprisonment.
If the offence committed under paragraph one results in the victim’s death, such person shall be liable to life imprisonment or death penalty.
If the offence committed under paragraph one, two and three is the case where an ascendant forcing a descendant to work or provide services due to poverty or upon considering the offence or other ruthful circumstances, the Court may impose, against a defendant, a lesser sentence as provided by the law or may rule not to impose sentences on the defendant”.

Section 9. The provisions of section 53 of the Anti-Human Trafficking Act, B.E. 2551 as amended by the Anti-Human Trafficking Act (No. 3), B.E. 2560 shall be repealed and replaced by the followings:
“in the case where an offender under paragraph one or under section 6/1 is a juristic person, if the commission of such offence comes from the order or act of a member of the Board, manager or any person who is responsible for the execution of such juristic person, or in the case where such person has the duties to order or act and fails to order or act resulting in the commission of the offence of such juristic person, such person shall also be liable to the sentences as provided for such offence”.


Countersigned by
    General Prayut Chan-O-Cha
             Prime Minister

(c) Ms. Natthanicha Lephilibert, Safe and Fair National Project Coordination for Thailand, ILO, United Nations


DISCLAIMER: THIS TEXT HAS BEEN PROVIDED FOR EDUCATIONAL/ COMPREHENSION AND CONTAINS NO LEGAL AUTHORITY. NO RESPONSIBILITY FOR ANY LIABILITIES ARISING FROM THE USE AND/OR REFERENCE OF THIS TEXT SHALL BE ASSUMED. THE ORIGINAL THAI TEXT AS FORMALLY ADOPTED AND PUBLISHED SHALL IN ALL EVENTS REMAIN THE SOLE AUTHORITY HAVING LEGAL FORCE.