เรื่อง
การพัฒนาบุคลากรภาครัฐโดยการจัดหลักสูตรฝึกอบรมของหน่วยงานต่าง ๆ
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันอังคาร ที่ 10 พฤษภาคม 2559 เห็นชอบแนวทางปฏิบัติในการพัฒนาบุคลากรภาครัฐโดยการจัดหลักสูตรฝึกอบรมของหน่วยงานต่าง
ๆ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ และให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี (23
ก.พ. 59) (เรื่อง
การพัฒนาบุคลากรในภาครัฐเพื่อรองรับการปฏิรูปประเทศ)
สาระสำคัญของเรื่อง
รองนายกรัฐมนตรี
(นายวิษณุ เครืองาม) รายงานว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการพัฒนาบุคลากรภาครัฐโดยการจัดหลักสูตรฝึกอบรมต่าง
ๆ นั้น
โดยที่มีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการเข้ารับการฝึกอบรมของบุคลากรภาครัฐหลายเรื่อง
สมควรรวบรวมมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวประมวลเข้าด้วยกันและกำหนดแนวทางในเรื่องนี้ขึ้นใหม่ให้ชัดเจน
ดังนี้
1.1 แนวทางนี้ใช้กับการพัฒนาบุคลากรภาครัฐที่จัดในรูปแบบของหลักสูตร
หรือการฝึกอบรมไม่ใช้กับโครงการและไม่ใช้กับการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อให้ได้มาซึ่งปริญญา ประกาศนียบัตรวิชาชีพ และการศึกษา
อบรมในต่างประเทศซึ่งต้องปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการนั้น ๆ
1.2 แนวทางนี้ใช้กับหลักสูตรฝึกอบรมที่จัดโดยหน่วยงานของรัฐในสังกัดฝ่ายบริหาร
ได้แก่ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน
และหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร
ซึ่งใช้งบประมาณของรัฐบางส่วนหรือทั้งหมดในการจัดการอบรม
ในกรณีเป็นหลักสูตรหรือการอบรมที่จัดโดยหน่วยงานอื่นที่ไม่อยู่ในสังกัดของฝ่ายบริหาร
เช่น รัฐสภา สถาบันพระปกเกล้า สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ
สำนักงานศาลปกครอง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง สำนักงานอัยการสูงสุด
องค์กรอิสระอื่น ๆ ให้หน่วยงานดังกล่าวพิจารณาดำเนินการตามแนวทางนี้โดยอนุโลม
1.3 คุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม
และเงื่อนไขเกี่ยวกับผู้เข้ารับการอบรม
บุคลากรภาครัฐที่เข้ารับการอบรมตามหลักสูตรใดแล้ว
จะลาไปรับการอบรมตามหลักสูตรอื่นได้ต่อเมื่อได้เว้นระยะเวลาอย่างน้อยสองปี
เว้นแต่เป็นการอบรมตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมายเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการ
หรือเป็นการอบรมตามเงื่อนไขในการเข้าดำรงตำแหน่ง
หรือผู้เข้ารับการอบรมเสียค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดและไม่ต้องลาหรือไม่ใช้เวลาราชการในการอบรม
หรือดูงาน
1.4 การพัฒนาบุคลากรต่างหน่วยงาน
1)
หลักสูตรหรือการอบรมที่มุ่งหมายพัฒนาบุคลากรภาครัฐภายในหน่วยงานนั้นเป็นหลัก (in-house
training) หากจะรับบุคลากรภาครัฐจากหน่วยงานอื่นและบุคลากรภาคเอกชนเข้าร่วมการอบรม
จำนวนบุคลากรอื่นดังกล่าวจะต้องมีจำนวนรวมกันไม่เกินร้อยละสิบห้าของจำนวนผู้ศึกษาอบรมทั้งหมด
โดยมีความสำคัญแก่จำนวนบุคลากรภาครัฐจากหน่วยงานอื่นมากกว่าจากภาคเอกชน
2)
หลักสูตรและการอบรมที่จัดแก่บุคคลทั่วไปหรือบุคลากรนอกหน่วยงาน เป็นหลัก เช่น
หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร หากจะรับบุคลากรภาคเอกชน ต้องมีจำนวนไม่เกินร้อยละสิบห้าของจำนวนผู้เข้ารับการอบรมทั้งหมด
3)
หลักสูตรและการอบรมที่จัดในลักษณะภาครัฐร่วมกับเอกชน
หรือมุ่งหมายจะให้การอบรมแก่ภาคเอกชนเป็นหลัก
เพื่อสร้างความร่วมมือ
ความรับรู้ความเข้าใจในลักษณะประชารัฐ เช่น หลักสูตรวิทยาลัยตลาดทุน
ให้จัดสรรสัดส่วนระหว่างจำนวนบุคลากรภาครัฐกับภาคเอกชนตามความเหมาะสม แต่ต้องประกาศจำนวนของผู้รับการอบรมแต่ละภาคส่วนให้ทราบล่วงหน้า
4)
“บุคลากรภาครัฐ” หมายความถึง ข้าราชการประจำ
ข้าราชการการเมือง ข้าราชการส่วนท้องถิ่น ผู้บริหารและพนักงานรัฐวิสาหกิจ
พนักงานราชการ และบุคลากรอื่นของหน่วยงานรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร บุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ
และให้หมายความรวมถึง สมาชิกรัฐสภา ผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(เว้นแต่หลักสูตรนั้นจะมีวัตถุประสงค์เป็นอย่างอื่น)
5)
การรับบุคลากรภาคเอกชนเข้ารับการอบรมให้พิจารณาจากผู้ที่องค์กรเอกชนตามกฎหมายหรือองค์กรเอกชนซึ่งเป็นที่ยอมรับแพร่หลายได้คัดสรรตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้แล้วเสนอชื่อมาเป็นหลักและควรให้บุคลากรดังกล่าวเสียค่าใช้จ่ายบางส่วนหรือทั้งหมดตามความเหมาะสม
สำหรับการดูงาน ณ ต่างประเทศ
หลักสูตรและการอบรมที่กำหนดให้มีการดูงานให้ดำเนินการดังนี้
1)
ควรเน้นการดูงานภายในประเทศตามสถานที่และกิจกรรมเป้าหมายที่เหมาะสม เช่น
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการปิดทองหลังพระ
การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การค้าชายแดน การพัฒนาตามแนวทางประชารัฐ
เศรษฐกิจพอเพียงการเรียนรู้จากปราชญ์ชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน (มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 3 มีนาคม 2558)
2)
หากเป็นการดูงานในประเทศเพื่อนบ้านบริเวณพื้นที่ชายแดน
ควรพิจารณาการพักค้างในประเทศไทยเพื่อสนับสนุนให้ผู้มีรายได้น้อยและผู้ประกอบธุรกิจตามแนวชายแดนได้ดำเนินธุรกิจชุมชนและได้ประโยชน์จากการดูงาน
(มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 21 กรกฎาคม 2558)
3)
ในกรณีจำเป็นต้องดูงาน ณ ต่างประเทศเพื่อประโยชน์ในเชิงเปรียบเทียบหรือศึกษาจากต้นแบบ
ให้คณะกรรมการหลักสูตรพิจารณาการเรียนรู้จากประสบการณ์ของประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียนหรือบวกสาม
ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เป็นลำดับแรก
4)
ในกรณีมีความจำเป็นต้องเดินทางไปดูงานในประเทศอื่น ๆ นอกจาก ข้อ 3)
หรืออยู่ภายในกรอบวงเงินงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อการดูงาน ณ
ต่างประเทศตามที่หน่วยงานเจ้าของหลักสูตรได้ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ
ซึ่งใกล้เคียงกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปดูงานตามข้อ 3)
ให้แสดงเหตุผล ความจำเป็น แผนการดูงาน ประโยชน์ที่จะได้รับ
และขออนุญาตจากรัฐมนตรีหรือผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานเจ้าของหลักสูตรเป็นรุ่น
ๆ หรือคราว ๆ ไป
5)
การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายของบุคลากรภาครัฐที่เดินทางไปดูงาน ณ ต่างประเทศ
ให้คำนึงถึงกฎเกณฑ์ทั่วไปที่หน่วยงานเจ้าของหลักสูตรกำหนดยิ่งกว่าการเบิกจ่ายตามสิทธิของบุคลากรภาครัฐ
ซึ่งอาจมากกว่ากฎเกณฑ์ตามหลักสูตร
6) ความใน
5 ไม่ใช้ในกรณีผู้เข้ารับการอบรมออกค่าใช้จ่ายในการดูงาน ณ
ต่างประเทศด้วยตนเองทั้งหมด
7) เมื่อเสร็จสิ้นการดูงานแล้ว หากมีการจัดทำรายงานการดูงาน
ให้หน่วยงานเจ้าของหลักสูตรเผยแพร่รายงานนั้นทางเว็บไซต์ของหน่วยงาน
เว้นแต่จะเป็นเอกสารที่ระบุชั้นความลับ(มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 12 พฤษภาคม 2558)
หน้าที่ของหน่วยงานเจ้าของหลักสูตร
1) การจัดเนื้อหาของแต่ละหลักสูตรให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร
แต่ควรพิจารณาสอดแทรกเนื้อหาเกี่ยวกับหลักธรรมาภิบาล เศรษฐกิจพอเพียง
ยุทธศาสตร์ชาติแนวทางประชารัฐ การปฏิรูป
การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบด้วยตามสมควร
และให้กำกับดูแลการทำกิจกรรมของผู้เข้ารับการอบรม มิให้ฟุ่มเฟือยเกินจำเป็น
ผิดวินัยข้าราชการ ผิดกฎหมาย ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น
หรือใช้เวลาราชการไปทำกิจกรรมที่ไม่เหมาะสม
2) ในกรณีมีการจัดทำรายงานหรือเอกสารการวิจัยส่วนบุคคลหรือเป็นหมู่คณะ
หากหน่วยงานเจ้าของหลักสูตรเห็นว่ารายงานหรือเอกสารการวิจัยนั้นมีคุณภาพดีเด่น
และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อทางราชการ
ให้เสนอเอกสารดังกล่าวต่อส่วนราชการที่เกี่ยวข้องหรือคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบด้วย
3)
หน่วยงานของรัฐควรมีการวางแผนพัฒนากำลังคนเพื่อให้ใช้ประโยชน์
จากบุคลากรที่ได้รับการพัฒนาแล้ว
โดยการวางแผนการให้บุคลากรของหน่วยงานเข้ารับการอบรมตามหลักสูตรต่างๆ ล่วงหน้า
ให้เหมาะสมกับความจำเป็น
งบประมาณและการให้บริการประชาชนโดยมิให้บุคลากรหลายคนจากหน่วยงานเดียวกันเข้ารับการอบรมตามหลักสูตรต่าง
ๆ พร้อมกัน จนกระทบต่อประสิทธิภาพ
ในการปฏิบัติราชการและการให้บริการประชาชน นอกจากนั้น หน่วยงานของรัฐควรพิจารณาใช้ประโยชน์จากผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรต่าง
ๆ มาแล้วให้เหมาะสมด้วย
ทั้งนี้
ได้มีการหารือแนวทางดังกล่าวกับหน่วยงานเจ้าของหลักสูตรต่าง ๆ ในฝ่ายบริหารและเสนอ
คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
(ก.พ.) พิจารณาให้ความเห็นชอบตามแนวทางนี้แล้ว
ที่มา http://www.thaigov.go.th/index.php/th/news-summary-cabinet-meeting/item/102957-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5-10-%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1-2559
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น