ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. .... ทำให้ความหวังเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาดูจะจับต้องเป็นรูปธรรมได้ ผู้เขียนซึ่งมีโอกาสได้รับทุนการศึกษาไปศึกษาต่อ ณ ประเทศญี่ปุ่น เห็นว่าระบบการศึกษาของญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในระบบที่มีความก้าวหน้าและสามารถพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของญี่ปุ่นให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพสูงลำดับต้น ๆ ของโลก จึงได้ศึกษาโครงสร้างพื้นฐานของกฎหมายว่าด้วยการศึกษาของญี่ปุ่นเพื่อหวังว่าจะเป็นข้อมูลเพื่อการปฏิรูปการศึกษาอีกทางหนึ่งเพื่อสร้างอนาคตของชาติให้เข้มแข็ง
ผู้เขียนพบว่ากฎหมายดังกล่าวของญี่ปุ่นได้กำหนด "เป้าหมาย" และ "ผลลัพธ์" ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในแต่ละระดับไว้ ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นสามารถสร้าง "นวัตกรรมทางการศึกษาใหม่ ๆ" ขึ้นได้ตามบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งแตกต่างจากกฎหมายไทยที่กำหนดรายละเอียดขั้นตอนไว้มากมายจนทำให้ไม่สามารถคิดหรือทำอะไรใหม่ ๆ ได้ ต้องเดินตามระเบียบกฎเกณฑ์และขั้นตอนต่าง ๆ ที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น
ถ้าเราลองออกกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติโดยกำหนดเป้าหมายและผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ไว้ แทนที่จะกำหนดขั้นตอนและวิธีการที่จะต้องทำตามแบบเดิม ๆ อาจทำให้เราปลดพันธนาการในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของเราได้ดีขึ้น ผู้เขียนจึงได้แปลกฎหมายพื้นฐานว่าด้วยการศึกษาของญี่ปุ่นเป็นภาษาไทยขึ้น เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทยให้สมดังเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐
(คำแปล)
พระราชบัญญัติพื้นฐานว่าด้วยการศึกษา
(พระราชบัญญัติหมายเลข ๑๒๐
ใช้บังคับเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ค.ศ. ๒๐๐๖)
สารบัญ
หมวด ๑ วัตถุประสงค์และหลักการของการศึกษา (มาตรา ๑ – ๔)
หมวด ๒ หลักการพื้นฐานเกี่ยวกับการปฏิบัติในด้านการศึกษา (มาตรา ๕ – ๑๕)
หมวน ๓ การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (มาตรา ๑๖ – ๑๗)
หมวด ๔ การประกาศใช้กฎหมายและข้อบังคับต่าง ๆ (มาตรา ๑๘)
บทบัญญัติเพิ่มเติม
อารัมภบท
เราประชาชนชาวญี่ปุ่นมุ่งหวังให้รัฐที่เป็นประชาธิปไตยและมีวัฒนธรรมที่เราได้สร้างขึ้นมาด้วยความอุตสาหะมีการพัฒนา
ไปพร้อม ๆ กับความปรารถนาให้ความสันติสุขของโลกและสวัสดิการของมนุษยชาติมีความก้าวหน้าขึ้นไปยิ่งขึ้น
เพื่อให้แนวความคิดดังกล่าวเป็นจริงขึ้นมาได้นั้น
เราจะผลักดันการศึกษาที่ให้ความสำคัญแก่ความมีเกียรติของแต่ละบุคคล การศึกษาที่ปรารถนาความจริงและความถูกต้อง
การศึกษาที่นับถือจิตวิญญาณร่วมกัน
การศึกษาที่สั่งสอนมนุษย์ให้อุดมไปด้วยมนุษย์ธรรมและความสร้างสรรค์ รวมทั้งการศึกษาที่สืบต่อขนบธรรมเนียมประเพณีและสร้างวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมาให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป
ในการนี้ เราจึงได้ตรากฎหมายฉบับนี้ขึ้นตามแนวทางแห่งจิตวิญญาณของรัฐธรรมนูญแห่งประเทศญี่ปุ่น
เพื่อที่จะสร้างพื้นฐานของการศึกษาและส่งเสริมการศึกษาที่เปิดทางสู่อนาคตของประเทศของเรา
หมวด ๑
วัตถุประสงค์และหลักการของการศึกษา
(วัตถุประสงค์ของการศึกษา)
มาตรา
๑ การศึกษาจะต้องถูกจัดไว้เพื่อวัตถุประสงค์ในการพัฒนาคุณลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคลอย่างเต็มที่ โดยการบ่มเพาะให้ประชาชนเป็นประชาชนที่มีความเจริญเติบโตทางด้านร่างกายและจิตใจ
และซึมซับความมีคุณภาพที่จำเป็นสำหรับประชาชนผู้ที่จะมาเป็นผู้สร้างรัฐและสังคมที่มีสันติสุขและเป็นประธิปไตย
(เป้าหมายของการศึกษา)
มาตรา ๒ เพื่อให้วัตถุประสงค์ข้างต้นเป็นจริงได้
การศึกษาจะต้องถูกจัดไว้ตามแนวทางดังต่อไปนี้
ควบคู่ไปกับการเคารพในหลักการของเสรีภาพทางการศึกษา
๑) มีนักเรียนที่ได้มาซึ่งความรู้และการอบรมสั่งสอนในแนวกว้าง
ส่งเสริมความมีคุณค่าของการค้นหาความถูกต้อง การบ่มเพาะความอุดมของไหวพริบและความรู้สึกต่อศีลธรรม
เช่นเดียวกับการสร้างร่างกายที่มีสุขภาพที่ดี
๒) ความเคารพคุณค่าของแต่ละบุคคล การพัฒนาความสามารถ บ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์
และส่งเสริมจิตวิญญาณของการปกครองตนเอง และความสามารถในการพึ่งพาตนเอง
เช่นเดียวกับการให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างงานและชีวิตประจำวัน และส่งเสริมการให้คุณค่าต่อการเคารพการทุ่มเทให้กับการทำงาน
๓) การบ่มเพาะทัศนคติดในการสร้างสังคมที่ปกครองตนเองบนพื้นฐานของความยุติธรรมและความรับผิดชอบ
ความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ และการเคารพระหว่างกันและความร่วมมือกัน รวมถึงความมีจิตวิญญาณร่วมกัน
๔) บ่มเพาะทัศนคติในการปกป้องสิ่งแวดล้อมโดยเคารพต่อชีวิต
การให้ความสำคัญกับธรรมชาติ
๕)
บ่มเพาะทัศนคติในการสร้างสันติสุขและพัฒนาประชาคมโลกโดยเคารพต่อขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรม
และรักในประเทศและภูมิภาคที่ให้การเลี้ยงดูเรา รวมทั้งการให้ความเคารพต่อประเทศอื่น
(แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต)
มาตรา ๓ สังคมจะต้องถูกนำไปสู่การที่ประชาชนแต่ละคนสามารถเรียนรู้อย่างต่อเนื่องไปตลอดชีวิต
ในทุกโอกาสและทุกสถานที่
และพวกเขาสามารถนำผลลัพธ์ของการเรียนรู้ตลอดชีวิตไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม
เพื่อขัดเกลาคุณลักษณะของตนเองและเติมเต็มชีวิต
(ความเสมอภาคทางการศึกษา)
มาตรา ๔ (๑)
ประชาชนทุกคนจะต้องมีโอกาสที่เท่าเทียมกันที่จะได้รับการศึกษาที่เหมาะสมกับความสามารถของตน
ทั้งนี้
จะต้องไม่ถูกเลือกปฏิบัติในการได้รับการศึกษาด้วยเหตุแห่งเชื้อชาติ ความเชื่อทางศาสนา
เพศ สถานะทางสังคม ฐานะทางเศรษฐกิจ หรือถิ่นกำเนิด
(๒)
รัฐและรัฐบาลท้องถิ่นจะต้องจัดให้มีการสนับสนุนทางการศึกษาที่จำเป็น
เพื่อให้สามารถมั่นใจได้ว่าผู้พิการจะได้รับการศึกษาอย่างพอเพียงตามระดับของความพิการของตน
(๓)
รัฐและรัฐบาลท้องถิ่นจะต้องมีมาตรการในการจัดให้มีความช่วยเหลือด้านทุนการศึกษาแก่ผู้ที่มีความยากลำบากในการได้รับการศึกษาด้วยเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจ
โดยไม่คำนึงถึงความสามารถของบุคคลนั้น
หมวด ๒
หลักการพื้นฐานเกี่ยวกับการปฏิบัติในด้านการศึกษา
(การศึกษาภาคบังคับ)
มาตรา ๕
(๑)
ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ในการให้บุตรในความดูแลของตนได้รับการศึกษาทั่วไปตามที่ได้มีการกำหนดไว้ในกฎหมายอื่น
(๒)
การศึกษาทั่วไปที่ถูกจัดไว้ในรูปแบบของการศึกษาภาคบังคับนั้นจะถูกจัดไว้ตามวัตถุประสงค์ของการบ่มเพาะพื้นฐานของการใช้ชีวิตแบบพึ่งพาตนเองในสังคม
ไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาความสามารถของแต่ละบุคคล และตามวัตถุประสงค์ของการส่งเสริมความสามารถพื้นฐานที่มีความจำเป็นสำหรับการเป็นผู้ที่จะสร้างชาติและสังคมของเรา
(๓) รัฐและรัฐบาลท้องถิ่นมีความรับผิดชอบในการเป็นผู้จัดการเกี่ยวกับการจัดการศึกษาภาคบังคับเพื่อเป็นการรับประกันถึงโอกาสในการได้รับการศึกษาภาคบังคับของประชาชน และให้สามารถมั่นใจถึงการมีมาตรฐานทางการศึกษาอย่างเพียงพอ
โดยรัฐและรัฐบาลท้องถิ่นต้องมีการแบ่งบทบาทหน้าที่และให้ความร่วมมือระหว่างกันตามความเหมาะสม
(๔)
จะต้องไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมในการศึกษาสำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐานในโรงเรียนที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐและรัฐบาลท้องถิ่น
(การศึกษาในโรงเรียน)
มาตรา ๖
(๑) โรงเรียนที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายนั้นมีลักษณะที่เป็นสาธารณะ
และมีเพียงรัฐ รัฐบาลท้องถิ่น
และนิติบุคคลตามกฎหมายเท่านั้นที่จะสามารถจัดตั้งโรงเรียนที่มีลักษณะดังกล่าวได้
(๒)
เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการด้านการศึกษาให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ โรงเรียนตามวรรคหนึ่งจะต้องจัดให้มีการศึกษาอย่างมีโครงสร้าง
ตามแนวทางการจัดการที่เหมาะสมกับการพัฒนาทางด้านร่างกายและจิตใจของผู้ที่ได้รับการศึกษา
ในการนี้ การศึกษาจะต้องถูกจัดให้ในแนวทางที่ปลูกฝังความเคารพวินัยที่จำเป็นสำหรับการบริหารจัดการชีวิตในโรงเรียนของบุคคลที่ได้รับการศึกษานั้น
และเน้นย้ำในเรื่องการสร้างความเข้มแข็งเกี่ยวกับแรงจูงใจในการเรียนรู้ของพวกเขา
(มหาวิทยาลัย)
มาตรา ๗
(๑) มหาวิทยาลัยในฐานะแกนกลางของกิจกรรมทางวิชาการ
จะให้การพัฒนาสังคมโดยการบ่มเพาะความรู้ขั้นสูงและทักษะพิเศษ
ความใคร่รู้ในเชิงลึกเพื่อไปสู่การสร้างความรู้ใหม่ที่แท้จริง
และให้ผลผลิตแก่สังคมอย่างกว้างขวาง
(๒)
ความเป็นอิสระ ปกครองตนเอง และมีคุณลักษณะอื่น ๆ ในด้านการศึกษาในมหาวิทยาลัยและการวิจัยที่เป็นหนึ่งจะต้องได้รับความเคารพ
(โรงเรียนเอกชน)
มาตรา ๘ เมื่อพิจารณาถึงการมีคุณลักษณะของความเป็นสาธารณะของโรงเรียนเอกชนและการมีบทบาทที่สำคัญในการศึกษาในระดับโรงเรียน
รัฐและรัฐบาลท้องถิ่นต้องทุ่มเทในการสนับสนุนการศึกษาของโรงเรียนเอกชนผ่านการอุดหนุนและการใช้วิธีการที่เหมาะสมอื่น
ๆ ไปพร้อม ๆ กับการให้ความเคารพในการบริหารจัดการตนเองของโรงเรียนเอกชน
(ครู)
มาตรา ๙
(๑) ครูของโรงเรียนที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายต้องทุ่มเทในการทำหน้าที่ของตนเองไปพร้อม
ๆ กับการตระหนักอย่างลึกซึ้งในเป้าหมายอันสูงส่งของอาชีพ และอุทิศตนในการวิจัยและการปรับปรุงตนเองอย่างต่อเนื่อง
(๒) ในการตระหนักถึงความสำคัญของอาชีพและหน้าที่ของครูตามที่ได้อ้างถึงในวรรคหนึ่ง
สถานะของครูต้องได้รับความเคารพ
และต้องทำให้มั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลที่เป็นธรรมและเหมาะสม และต้องมีการใช้มาตรการเพื่อปรับปรุงการศึกษาและการฝึกฝน
(การศึกษาในครอบครัว)
มาตรา ๑๐
(๑) บิดามารดาและผู้ดูแล
ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบในการให้การศึกษาแก่เด็กเป็นลำดับแรก
ต้องทุ่มเทในการปลูกฝังเกี่ยวกับกิจวัตรที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต บ่มเพาะให้เด็กสามารถพึ่งพาตัวเองได้
รวมทั้งพัฒนาร่างกายและจิตใจให้ความความสมดุล
(๒) รัฐและรัฐบาลท้องถิ่นจะต้องทุ่มเทในการใช้มาตรการที่จำเป็นสำหรับการสนับสนุนการศึกษาในครอบครัว
เช่น การจัดให้ผู้ดูแลเด็กมีโอกาสในการเรียนรู้และเข้าถึงข้อมูล ไปพร้อม ๆ
กับการเคารพความเป็นอิสระของการศึกษาในครอบครัว
(การศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย)
มาตรา ๑๑ ในการตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาปฐมวัยในฐานะที่เป็นพื้นฐานของการสร้างคุณลักษณะของบุคคลหนึ่งไปตลอดชีวิต รัฐและรัฐบาลท้องถิ่นต้องทุ่มเทในการสนับสนุนการศึกษาปฐมวัยโดยการจัดสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างมีสุขภาพที่ดีให้กับเด็กเล็ก
รวมถึงจัดให้มีการดำเนินการด้วยวิธีการอื่น ๆ ที่เหมาะสม
(การศึกษาในระดับสังคม)
มาตรา ๑๒
(๑) รัฐและรัฐบาลท้องถิ่นต้องมีความพยายามในการจัดการศึกษาในระดับสังคมที่ตอบสนองต่อความต้องการของแต่ละบุคคลและสังคม
(๒) รัฐและรัฐบาลท้องถิ่นต้องพยายามในการส่งเสริมการศึกษาในระดับสังคมโดยวิธีการต่าง
ๆ อันได้แก่ การจัดตั้งห้องสมุด พิพิธภัณฑ์
ศาลาประชาคมและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการศึกษาในสังคมในรูปแบบอื่น ๆ การใช้ประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ของโรงเรียน
โอกาสในการเรียนรู้และการจัดให้มีข้อมูลที่ถูกต้อง
(ความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือกันระหว่างโรงเรียน
ครอบครัว และผู้ที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่น)
มาตรา ๑๓ โรงเรียน ครอบครัว
ผู้ที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่น และบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องต้องตระหนักรู้ถึงการแบ่งบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบเกี่ยวกับการศึกษา
รวมถึงทุ่มเทในการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือระหว่างกัน
(การศึกษาทางการเมือง)
มาตรา ๑๔ (๑) การศึกษาต้องให้คุณค่าแก่ความรู้ในเรื่องการเมืองที่มีความจำเป็นต่อความรับรู้สำหรับความเป็นพลเมือง
(๒) โรงเรียนที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายจะต้องไม่มีการเรียนการสอนหรือประกอบกิจกรรมทางการเมืองเพื่อเป็นการสนับสนุนหรือต่อต้านพรรคการเมืองใดเป็นพิเศษ
(ศาสนศึกษา)
มาตรา ๑๕ (๑)
การศึกษาจะต้องให้คุณค่าแก่การนับถือศาสนา ความรู้ทั่วไปเกี่ยกับศาสนาและสถานะของศาสนาในการดำรงชีวิตในสังคม
(๒) โรงเรียนที่ถูกจัดตั้งขึ้นโดยรัฐและรัฐบาลท้องถิ่นจะต้องไม่มีการสอนและประกอบกิจกรรมเกี่ยวกับศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นการเฉพาะ
หมวด ๓ การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน
(การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน)
มาตรา ๑๖
(๑) การศึกษาจะต้องไม่ขึ้นอยู่กับการควบคุมที่ไม่เหมาะสม
และต้องถูกจัดให้มีขึ้นตามพระราชบัญญัติฉบับนี้และกฎหมายฉบับอื่น
การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนต้องเป็นไปด้วยความเป็นธรรมและด้วยวิธีการที่ถูกต้อง
ผ่านการแบ่งบทบาทหน้าที่อย่างเหมาะสมและความร่วมมือกันระหว่างรัฐและรัฐบาลท้องถิ่น
(๒)
รัฐบาลกลางต้องกำหนดมาตรการด้านการศึกษาและการปฏิบัติแบบเบ็ดเสร็จเพื่อประโยชน์ในการจัดให้มีความเท่าเทียมในด้านโอกาสทางการศึกษาและเพื่อรักษาและเพิ่มมาตรฐานทางการศึกษาทั่วทั้งประเทศ
(๓)
รัฐบาลท้องถิ่นต้องกำหนดและปฏิบัติตามมาตรการด้านการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมในพื้นที่ในการส่งเสริมการศึกษาในพื้นที่
(๔)
รัฐและรัฐบาลท้องถิ่นต้องมีมาตรการด้านการเงินที่จำเป็น
เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการศึกษาจะถูกจัดให้มีขึ้นอย่างราบลื่นและต่อเนื่อง
(แผนพื้นฐานว่าด้วยการส่งเสริมการศึกษา)
มาตรา ๑๗
(๑) เพื่อประโชน์ในการอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติตามนโยบายเกี่ยวกับการส่งเสริมการศึกษาอย่างเบ็ดเสร็จและเป็นระบบ
รัฐบาลต้องกำหนดแผนพื้นฐานที่ครอบคลุมถึงหลักการพื้นฐาน มาตรการที่จะถูกนำมาปฏิบัติ และนโยบายเฉพาะอื่น ๆ
ที่จำเป็นสำหรับการส่งเสริมการศึกษา
รวมทั้งต้องรายงานแผนพื้นฐานดังกล่าวต่อสภาไดเอ็ทแห่งชาติและเผยแพร่ต่อสาธารณชนให้รับทราบด้วย
(๒) รัฐบาลท้องถิ่นจะต้องมีการปรึกษาหารือเกี่ยวกับแผนพื้นฐานว่าด้วยการส่งเสริมการศึกษาตามวรรคหนึ่ง
และต้องใช้ความพยายามในการกำหนดแผนพื้นฐานเกี่ยวกับการส่งเสริมการศึกษาในพื้นที่ของรัฐบาลท้องถิ่นนั้นที่มีความสอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมของท้องที่
หมวด ๔ การประกาศใช้กฎหมายและข้อบังคับอื่น
มาตรา ๑๘ เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติฉบับนี้
ต้องมีการประกาศใช้กฎหมาย หรือข้อบังคับอื่นที่จำเป็น
บทบัญญัติเพิ่มเติม (ย่อ)
(วันมีผลใช้บังคับ)
(๑)
พระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลใช้บังคับนับแต่วันที่ประกาศใช้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น