พลเอก กฤษณะ
บวรรัตนารักษ์
ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
ปัจจุบันมีการใช้โดรนเพื่อประโยชน์ต่าง ๆ กันอย่างแพร่หลาย
แต่ในขณะเดียวกันก็มีการใช้ โดรนฝ่าฝืนกฎหมายที่อาจเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางทหาร
ซึ่งย่อมมีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ดังเช่นปรากฏเป็นข่าวการใช้โดรนบินในระดับความสูงเข้ามาใกล้บริเวณสนามบินดอนเมืองเพื่อถ่ายคลิปซึ่งเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายตามประกาศกระทรวงคมนาคม
ลงวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เรื่อง หลักเกณฑ์การอนุญาตและเงื่อนไขในการบังคับหรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบินประเภทอากาศยานที่ควบคุมการบินจากภายนอก
ออกตามความในมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท ตามมาตรา 80 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
รวมทั้งความผิดตามมาตรา 4
แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองความลับในราชการ พ.ศ. 2483 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ หลังจากนั้นมีการดำเนินคดีผู้ฝ่าฝืนดังกล่าวในภายหลัง
สำหรับผู้ที่มีโดรนไว้ในครอบครองที่ไม่มาขึ้นทะเบียนภายในวันที่
9 มกราคม 2561 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามคำสั่งคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2560 เรื่อง
การขึ้นทะเบียนเครื่องวิทยุคมนาคมที่ใช้ในอากาศยานซึ่งไม่มีนักบินประเภทอากาศยานที่ควบคุมการบินจากภายนอก
(Drone) ออกตามความในมาตรา 6 ประกอบกับมาตรา
14 และมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม
พ.ศ. 2498 และที่แก้ไขเพิ่มเติม แต่หากมีการดัดแปลงโดรนให้มีการติดอาวุธเพื่อประทุษร้ายต่อชีวิตหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินสำคัญของทางราชการทหาร
ตลอดจนติดตั้งอุปกรณ์สอดแนมสถานที่สำคัญของทางราชการทหาร ถือได้ว่าเป็นภัยร้ายแรงที่คุกคามต่อความมั่นคงทางทหาร
เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารที่เกี่ยวข้องจะสามารถระงับ ยับยั้ง
หรือยุติการปฏิบัติการของโดรนที่ฝ่าฝืนกฎหมายและเป็นภัยคุกคามดังกล่าวได้อย่างไรทันท่วงทีไม่ให้เกิดเหตุร้ายภายใต้หลักกฎหมายได้หรือไม่
เพียงใด เพราะไม่ทันการแน่นอนหากหลังจากเกิดเหตุขึ้นแล้วมาดำเนินคดีในภายหลัง แต่การสูญเสียหรือความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว
จากการตรวจสอบเบื้องต้นปรากฏว่ายังไม่มีกฎหมายรองรับโดยตรง แต่มีหลักกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องที่สามารถพิจารณาปรับใช้หรือเทียบเคียงได้
ดังนี้
1. พระราชบัญญัติว่าด้วยการปฏิบัติต่ออากาศยานที่กระทำผิดกฎหมาย พ.ศ. 2553
สรุปในส่วนที่เกี่ยวข้องได้ว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร (เจ้าหน้าที่ทหารอากาศหรือเจ้าหน้าที่ทหารอื่นที่มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในแผนป้องกันภัยทางอากาศ)
สามารถสกัดกั้นหรือทำลายโดรนที่เป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรืออาจเป็นภัยต่อสาธารณะ
ตามที่บัญญัติในมาตรา 4 ประกอบมาตรา 13
โดยมีขั้นตอนที่ควรดำเนินการเพิ่มเติม
ดังนี้ รายงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกรุณาพิจารณาประกาศกำหนดว่า "การใช้โดรนเพื่อประทุษร้ายต่อชีวิตหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินสำคัญของทางราชการทหาร
ตลอดจนสอดแนมสถานที่สำคัญของทางราชการทหาร เป็นการกระทำอันอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรืออาจเป็นภัยต่อสาธารณะ"
ตามที่มาตรา 4 ประกอบกับมาตรา 11 วรรคสาม
บัญญัติให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมประกาศได้ และมีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ทหารอื่น
เช่น เจ้าหน้าที่ทหารบก และเจ้าหน้าที่ทหารเรือ ไว้ในแผนป้องกันภัยทางอากาศด้วย ซึ่งภายใต้พระราชบัญญัตินี้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารสืบสวนสอบสวนเบื้องต้นแล้วดำเนินการส่งต่อไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ดำเนินการต่อไป
ตามที่บัญญัติในมาตรา 17 และมาตรา 19 อนึ่ง การสกัดกั้นหรือการทำลายโดรนนั้นควรคำนึงอยู่ภายใต้สัดส่วนที่เหมาะสมตามหลักกฎหมายซึ่งจะกล่าวต่อไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมิใช่สามารถทำลายโดรนได้เลยในทุกกรณี
2. ประมวลกฎหมายอาญาตามบทบัญญัติในมาตรา 68 สรุปในส่วนที่เกี่ยวข้องได้ว่า
เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารสามารถระงับ ยับยั้ง
หรือยุติการปฏิบัติการของโดรนที่ฝ่าฝืนกฎหมายโดรนนั้นได้ หากเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารจำเป็นต้องป้องกันตนเองหรือผู้อื่นให้พ้นภยันตรายโดยเฉพาะที่ใกล้จะถึงแก่ชีวิตของตนเองหรือผู้อื่น
ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ ถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีความผิด สรุปหลักเกณฑ์ที่สำคัญได้
ดังนี้
(1) มีภยันตรายเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย กล่าวคือภยันตรายที่เกิดขึ้นนั้นผู้กระทำไม่มีอำนาจตามกฎหมายให้กระทำได้
และผู้ป้องกันต้องไม่มีส่วนให้เกิดภยันตรายนั้น
(2) เป็นภยันตรายใกล้จะถึง
กล่าวคือเป็นภยันตรายที่กระชั้นชิดขนาดที่หากไม่ป้องกันตัวในขณะนั้น
อาจเกิดอันตรายต่อชีวิตแก่ตนเองหรือผู้อื่นได้ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้
เป็นหนทางปฏิบัติสุดท้าย และ
(3) การกระทำเพื่อป้องกันนั้นจะต้องได้สัดส่วนกับภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายนั้น
ซึ่งพิจารณาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าขอบเขตการปฏิบัติได้ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารภายใต้หลักการป้องกันตนเองตามกฎหมายข้างต้นค่อนข้างจำกัด
หากโดรนนั้นไม่ก่อให้เกิดภยันตรายที่ใกล้จะถึงแก่ชีวิต เช่น
ติดตั้งอาวุธที่ไม่ร้ายแรงเพื่อประทุษร้าย หรือเพียงสอดแนมสถานที่สำคัญทางทหาร
เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารไม่อาจระงับ ยับยั้ง หรือยุติการปฏิบัติการของโดรนที่ฝ่าฝืนกฎหมายและไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อชีวิตดังกล่าวได้
หน่วยงานทหารและหน่วยงานพลเรือนที่เกี่ยวข้องควรร่วมกันพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
ว่าด้วยการปฏิบัติต่ออากาศยานที่กระทำผิดกฎหมาย พ.ศ. 2553 เพื่อให้มีบทบัญญัติชัดเจนโดยตรงให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารสามารถระงับ
ยับยั้ง
หรือยุติการปฏิบัติการของโดรนที่ส่อว่าเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตและทรัพย์สินหรือสถานที่ของทางราชการทหารได้ทันท่วงที
หรือจะพิจารณาตรากฎหมายรองรับกรณีนี้ขึ้นมาใหม่โดยตรงต่างหาก ทั้งนี้ เห็นควรมีบทบัญญัติให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารไม่ต้องรับผิดทั้งทางวินัย
อาญา และแพ่ง หากเป็นการกระทำที่สุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ
และไม่เกินสมควรแก่เหตุหรือไม่เกินกว่ากรณีจำเป็น แต่ไม่ตัดสิทธิ ผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
ดังเช่นบทบัญญัติในมาตรา 17 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ศ. 2558 นอกจากนั้นหน่วยงานทหารที่เกี่ยวข้องควรร่วมกันพิจารณากำหนดมาตรการเสริม
(อนุญาตการปฏิบัติและจำกัดการปฏิบัติ) ภายใต้กฎการใช้กำลังของกองทัพไทย
ตามคำสั่งกระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ที่ 59/50 ลงวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2550 เรื่อง
กฎการใช้กำลังของกองทัพไทย ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎการใช้กำลังเฉพาะการปฏิบัติการทางอากาศ
เนื่องจากกฎการใช้กำลังดังกล่าวเริ่มใช้บังคับตั้งแต่ พ.ศ. 2550 ซึ่งในปีดังกล่าวยังไม่มีการใช้โดรนอย่างแพร่หลายหรือใช้โดรนที่อาจเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางทหารแต่อย่างใด
ทั้งนี้ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบันให้มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนสำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารในการปฏิบัติต่อโดรนที่ผิดกฎหมายภายใต้กรอบของกฎหมาย ในส่วนของการระงับ ยับยั้ง
หรือยุติการปฏิบัติการของโดรนที่ส่อว่าเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตและทรัพย์สินหรือสถานที่ของทางราชการทหารจะมีวิธีการและขั้นตอนตลอดจนการใช้อุปกรณ์หรือเทคนิคอะไรบ้างของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารนั้น
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานปฏิบัติ หน่วยงานด้านเทคนิค และหน่วยงานด้านกฎหมายควรร่วมกันพิจารณากำหนดในรายละเอียดเพื่อให้มีสัดส่วนที่เหมาะสม
ไม่เกินกว่าเหตุ
สรุป ปัจจุบันไม่มีกฎหมายรองรับให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารสามารถระงับ
ยับยั้ง หรือยุติการปฏิบัติการของโดรนที่ส่อว่าเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตและทรัพย์สินหรือสถานที่ของทางราชการทหารได้ทันท่วงทีโดยตรง
ต้องพิจารณาปรับใช้หรือเทียบเคียงกฎหมายอื่น ซึ่งแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมในขณะนี้ที่ยังไม่มีกฎหมายรองรับโดยตรง
คือ การปรับใช้หรือเทียบเคียงการปฏิบัติภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วยการปฏิบัติต่ออากาศยานที่กระทำผิดกฎหมาย
พ.ศ. 2553
ซึ่งมีขอบเขตสามารถรองรับได้มากหลักการป้องกันตนเองภายใต้ประมวลกฎหมายอาญา โดยมีขั้นตอนต้องดำเนินการเพิ่มเติมตามที่กล่าวข้างต้น
แต่หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นว่ายังเป็นปัญหาอุปสรรคของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติ
สมควรหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่มีอยู่แล้วหรือตรากฎหมายออกมาใหม่โดยเฉพาะ
รวมทั้งพิจารณากำหนดมาตรการเสริมภายใต้กฎการใช้กำลังของกองทัพไทยในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
กฎหมายและกฎการใช้กำลังของกองทัพไทยควรจะต้องเหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน ทันการณ์
และรองรับการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารต่อภัยคุกคามรูปแบบต่างๆต่อความมั่นคงทางทหารที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีตลอดเวลา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น